RESTART
Don't cry because it is over, smile because it happened.
[อย่าร้องไห้ กับสิ่งที่จบไปแล้ว แต่จงยิ้ม กับสิ่งที่เกิดขึ้น]
ผมชื่อ ‘อีซึงฮุน’ อายุ 24 ปี
เพิ่งเรียนจบปริญญาโทไปเมื่อห้าเดือนที่ผ่านมาและกำลังจะได้เป็นนักเขียนอย่างเต็มตัวเมื่อนิยายที่ผมส่งไปที่สำนักพิมพ์กำลังจะถูกตีพิมพ์ในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้
แฟนของผมก็เรียนจบปริญญาตรีด้านดนตรีตอนนี้กำลังฟอร์มวงเพื่อที่จะเดบิวต์เป็นศิลปินในอีกไม่กี่เดือนนี้
ชีวิตผมกำลังจะดีขึ้นและผมก็หวังว่ามันจะดีขึ้นไปแบบนี้เรื่อยๆ
แต่แล้วทุกอย่างที่ผมเพิ่งคิดมาก่อนหน้านี้มันก็พังครืนลงมาตรงหน้าผม
‘เลิกกันเถอะ ผมเบื่อพี่แล้ว’
ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม ตรงร้านกาแฟร้านเดิมที่ ‘คิมจีวอน’ ขอเป็นแฟนเมื่อสองปีก่อนและเพิ่งขอบอกเลิกเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา อ่า..ให้ตายนี่ผมนั่งหน้าโง่อยู่ตรงนี้มาสองชั่วโมงแล้วอย่างนั้นเหรอทั้งๆที่จีวอนเดินออกไปจากตรงนี้กับเด็กผู้ชายที่ยืนรออยู่หน้าร้านนั่นนานแล้ว คำพูดนั้นวนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาความรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้าหน้าไม่ยั้ง ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงในตอนที่จีวอนบอกเลิก ผมไม่แม้แต่จะเอ่ยคำพูดเพื่อรั้งเขาไว้ด้วยซ้ำทั้งที่เขานั่งรอให้ผมพูดอยู่ตั้งนาน ผมกำลังอึ้ง...ผมกำลังประมวลคำพูดของผู้ชายตรงหน้าว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่าจนเมื่อเขาเดินออกไปผมถึงเข้าใจว่าเขาบอกเลิกผมแล้วจริงๆและมันไม่ใช่ความฝัน
ไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนที่ผมพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเพื่อเดินออกจากร้านมันทรมานมากแค่ไหน ขาผมสั่นไปหมดเมื่อนึกถึงตอนที่ผมใช้เวลาในการวิ่งมาหาจีวอนอย่างเร่งรีบเพราะเจ้าตัวส่งข้อความมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญมากๆจะคุยด้วย
บอกเลิกนี่โคตรจะสำคัญ
ผมเดินออกจากร้านด้วยใจที่ว่างเปล่าเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย
ในหัวก็ผุดคิดถึงภาพความทรงจำต่างๆผมนึกไม่ออกว่าผมไปทำอะไรให้เขาต้องบอกเลิก
เขาไม่อธิบายเหตุผลเลยสักคำ นี่ผมมันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ?
ผมก็แค่..ไม่ชอบไปเที่ยวที่มีคนเยอะแต่จีวอนเป็นพวกชอบเข้าสังคม
ผมไม่ชอบฟังเพลงแต่จีวอนเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าแห่งเสียงเพลง
ผมไม่ชอบให้จีวอนมาอยู่ใกล้ๆเพราะผมมักจะตัวแดงด้วยความเขินอาย
ผมไม่ชอบความสกปรกแต่จีวอนน่ะตัวสกปรกที่หนึ่งเลย
ผมไม่ชอบเล่นกีฬาแม้แต่กีฬาผมก็ยังไม่ดูแต่จีวอนชอบดูบอลมาก
ผมไม่ชอบเวลาที่จีวอนบอกว่าพอแล้วอยากกลับบ้านตอนที่มานั่งเฝ้าผมอ่านหนังสือในห้องสมุด
และอีกหลายๆอย่าง...ที่ผมไม่ชอบ
นั่นคือสาเหตุของความน่าเบื่อหรือเปล่า?
ผมกับจีวอน..จะว่าไปแล้วก็ไม่เหมือนคู่รักด้วยซ้ำ
เราเริ่มต้นด้วยความเรียบง่าย จืดชืดและไม่มีอะไรเลย เขาบอกชอบและขอคบผม
ผมตอบตกลงแต่ความสัมพันธ์ของเรามันแทบจะไม่พัฒนา ผมไม่กล้าจูบตอบจีวอนด้วยซ้ำ
ตอนที่จีวอนจับมือผมรู้สึกอึดอัดแต่ผมก็ชอบที่เขาจับมือผม
สิ่งเดียวที่ผมชอบตอนอยู่กับจีวอนคือตอนที่เขากอดผม..ผมชอบอ้อมกอดของเขาที่สุด
แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าผมกับเขาเราสองคนต่างกันสุดขั้วจนไม่มีอะไรที่เข้ากันได้สักอย่าง
มันก็ถูกต้องแล้วล่ะที่ความรักของเรามันจะต้องจบลงแบบนี้
มันเป็นเพราะตัวผมทั้งนั้น...ที่ไม่ยอมเข้าไปในโลกของจีวอน
ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายแผ่นซีดี ผมเบนสายตามองโปสเตอร์ของศิลปินมากมายที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างพลางคิดไปว่าอีกไม่นานรูปของวงจีวอนก็จะต้องถูกติดอยู่ทั่วทุกมุมของเกาหลี ผมเลื่อนสายตาไปที่จอทีวีขนาดใหญ่ในร้านที่กำลังเปิดเพลงอะไรสักอย่างอยู่แม้ว่าผมจะยืนอยู่ข้างนอกร้านแต่เสียงเพลงในร้านก็ยังดังออกมาให้ได้ยิน
ทำไมเพลงมันดูเศร้าจัง ทั้งๆที่มันไม่ใช่เพลงช้า
แม่เคยบอกว่าถ้าคนเราอกหัก ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็รู้สึกห่อเหี่ยวเหมือนคนใกล้ตายทั้งนั้น...ผมว่าแม่พูดถูก
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นพร้อมกับเมฆก้อนสีดำทะมึนที่กำลังลอยตัวเข้าหากันก่อนที่สายฝนจะพากันเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย คนที่เดินผ่านไปมารีบวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น บ้างก็พากันไปหลบในร้านขายเบอร์เกอร์ตรงมุมถนน บ้างก็พากันหลบอยู่ใต้กันสาดร้านขายดอกไม้ แต่ผม..ผมยังยืนอยู่ที่เดิมมองดูเพลงในร้านขายแผ่นซีดีที่เปิดวนไปมาราวกับมันเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดในตอนนี้
คงใช่..
ผมได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกให้ผมเข้ามาที่หลบฝนแต่ผมกลับไม่ตอบหรือเคลื่อนตัวไปไหน ผมบอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้หน้าตาตัวเองมันจะออกมาอุบาทว์มากขนาดไหน ผมนั่งลงฟุบหน้ากับเข่าตัวเองไม่คิดเลยว่าจะต้องมาทำแบบนี้เหมือนกับนางเอกในหนัง ผมอยากจะร้องไห้จนจะบ้าตายอยู่แล้วแต่ไอ้น้ำตาบ้านี่มันไม่ยอมไหลออกมาสักที บางทีสายฝนอาจจะช่วยทำให้น้ำตาผมไหลออกมาบ้างก็ได้..
แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวผมเริ่มไม่โดนฝน
ผมเงยหน้าขึ้นมองใครสักคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับร่มหนึ่งคันที่กางอยู่เหนือหัวผม
“ฝนตกแล้วนะครับ” นั่นเสียงใคร..ผมไม่รู้จัก แต่เสียงเขาดูอบอุ่นและเป็นห่วงผมมาก
“เดี๋ยวไม่สบายนะ”
ผมรู้..ผมอยากจะตายมากกว่าป่วยเสียอีก ตาของผมเริ่มพร่ามัวเมื่อจู่ๆน้ำตาที่กักเก็บไว้มันไหลออกมา
“เฮ้คุณ ผมขอโทษ ผมแค่หวังดี”
“ฮืออออ”
ผมร้องไห้ต่อหน้าใครก็ไม่รู้อย่างหมดความอาย
รับรู้เพียงแค่ว่าใจมันเจ็บจนแทบตายอยู่แล้ว
“เอ่อ..คุณครับ”
“ฮือออ
ไอ้เด็กบ้า ทำไมต้องมาบอกเลิกฉันวันนี้ด้วย
ฉันอุตส่าห์วิ่งมาตั้งไกลเพื่อมาหานายแล้วดูนายทำกับฉันสิ ไอ้เฮงซวย!” ผมตะโกนด่าทอไอ้บ้าจีวอนแข่งกับสายฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุด “ฉันทำอะไรผิด นายถึงทิ้งฉันไปเอาไอ้เด็กม.ปลายนั่น ไอ้บ้าเอ๊ย! ไอ้คนเลว! จะไปตายที่ไหนก็ไปซะ! ฮืออออ” ผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่กลัวสายตาใคร
สัมผัสอุ่นที่บริเวณหัวไหล่ทำให้ผมเงยหน้ามอง
นี่เขายังยืนอยู่งั้นเหรอแถมยังส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ผมด้วย
ฮึก..คนบ้าอะไรขนาดมองเห็นไม่ชัดยังดูดีขนาดนี้
ผมพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นโดยมีคุณใจดีช่วยประคองผมเบาๆผมกำลังจะเอ่ยคำขอบคุณที่อุตส่าห์เสียเวลามากางร่มให้คนบ้าแบบผมแต่ก่อนที่จะเอ่ยคำขอบคุณผมก็รู้สึกหนักหัวไปหมด แล้วทุกอย่างตรงหน้าก็ค่อยๆดับวูบไปทีละนิดๆ
สิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยิน...เสียงที่แผ่วเบาแต่กลับก้องอยู่ในหูผมตลอดเลย
“คุณ! คุณครับ! พี่ซึงฮุน!! อย่าเพิ่งตายนะ”
อ่า..ผมหวังว่าผมคงจะไม่ลืมตาดูโลกใบนี้อีกในวันใหม่หรอกนะ..
*
วันต่อมา
กลิ่นอะไร?
หอมจัง..
ผมค่อยๆลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมาอย่างช้าๆ
แสงแดดที่ผ่านเข้าผ้าม่านสีขาวแยงตาผมจนต้องยกมือขึ้นมาบังไว้
รู้สึกหัวมันหนักไปหมดแถมยังปวดตุบๆตรงบริเวณขมับอยู่เลย
ผมค่อยๆปรับสายตามองบริเวณรอบๆกาย
ผนังสีขาว ไม่นะ ห้องผมเป็นผนังสีฟ้า
ผ้าห่มสีเทากับเตียงขนาดคิงไซส์ บ้าเหรอ! ผมไม่มีเงินมากมายขนาดจะไปซื้อเตียงหรูๆแบบนี้ได้หรอก
ให้ตายนี่มันไม่ใช่ห้องของผมนี่
แล้วนี่มันห้องใครวะ!
“ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงเปิดประตูพร้อมกับเจ้าของเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นทักทาย ผมขมวดคิ้วมองผู้ชายแปลกหน้าตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ตัวสูงพอๆกับผม มีผิวสีน้ำผึ้งที่โคตรจะเข้ากับหน้าตาหล่อๆนั่นเอามากๆ ผมไม่ค่อยเจอคนเกาหลีที่มีสีผิวแบบนี้นักก็ปกติแล้วคนเกาหลีจะขาวซีดกันหมดดูอย่างผมสิแทบจะกลืนกับกระดาษอยู่แล้ว ทั้งที่ตัวสูงก็เกือบจะเท่ากันแต่ทำไมผมรู้สึกว่าผมตัวเล็กลงไปเลยอย่างนั้นล่ะ อาจเป็นเพราะผมตัวผอมบางแต่เขาตัวใหญ่หุ่นอย่างกับนักกีฬา
“หิวไหม” เขาใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายคิตตี้งั้นเหรอ บ้าไปแล้ว หน้าตาโหดเอาการแบบนั้นไม่คิดว่าจะใช้ของมุ้งมิ้งชนิดที่ว่าผู้หญิงบางคนยังไม่กล้าใช้อย่าง...คิตตี้เนี่ยนะ
อยากจะหัวเราะให้ฟันหมดปาก
แต่เดี๋ยวก่อน...
“คุณเป็นใคร” นี่คือสิ่งที่ผมควรถาม
“ผมเหรอ? ผมคือคนที่คุณก็รู้ว่าใครไงล่ะ”
- - อีตานี่
ผมควรตลกไหมหน้าตาก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นลอร์ดโวเดอมอร์ยังจะกล้าเล่นมุกนี้อีก
ผมถอนหายใจก่อนจะโบกมือเป็นเชิงว่าช่างมันเถอะ
“เฮ้! ผมล้อเล่นน่า นี่จำเรื่องเมื่อวานไม่ได้เหรอ”
เรื่องเมื่อวาน?
ผมถูกไอ้เด็กเฮงซวยนั่นบอกเลิกนี่ คิดแล้วยังแค้นอยู่เลย
แล้วผมก็ยืนฟังเพลงอยู่ที่หน้าร้านขายแผ่นซีดี
ฝนตก..แล้วก็มีใครสักคนเดินเข้ามากางร่มให้ ผมจำได้ว่าเค้าตัวสูง...แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
“คุณงั้นเหรอ?”
“หมายความว่าไง
คุณเป็นลมเมื่อวานนี้แถมไข้ขึ้นสูงด้วยแล้วก็เอาแต่เพ้อหาอะไรจีวงจีวอนเนี่ยแหละ”
“อ่า..แฟนเก่าผมเอง..ผมถูกบอกเลิก”
“เอ่อ..ผมขอโทษนะ
คุณโอเคใช่ป่ะ” เขาทำเสียงอ่อนพร้อมเอ่ยขอโทษ
“ไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย
เฮ้อ..ความจริงผมก็เหมือนจะโอเคนะ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่โอเลยอ่ะ” นี่กลายเป็นว่าผมมานั่งเล่าความรู้สึกตัวเองให้คนแปลกหน้าในห้องของเขาด้วยท่าทางราวกับว่าเราสองคนสนิทกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอะไรอย่างนั้น
“เดี๋ยวก็ดีแหละ” เขาพูดเหมือนกับว่าเข้าใจความรู้สึกผมดี
“คุณชื่ออะไรอ่ะ” ถือโอกาสถามตอนนี้เลยดีกว่า
“ผมคิดว่าคุณรู้จักผมซะอีก” ผมส่ายหน้าพรืด
ตั้งแต่จำความได้ก็เพิ่งเคยเห็นหน้าหมอนี่ก็วันนี้แหละ
“ไม่อ่ะ ไม่เคยนะ” ผมมองใบหน้าทั้งซ้ายทั้งขวาของเขาก็คิดไม่ออกว่าไปรู้จักมักจี่กันตอนไหน
ในชีวิตผมไม่เคยมีคนหน้าตาดีขนาดนี้ผ่านเข้ามาเลยสักคน
“คิดสิครับ”
“ไม่คิดได้ป่ะ บอกมาเหอะปวดหัว” นี่กะจะกวนตีนกันให้ถึงที่สุดเลยใช่ไหม .-.
“โอเค
ผมชื่อมินโฮ ซงมินโฮ ทีนี้จำได้หรือยัง”
มินโฮ?
คุ้นจัง คุ้นสุดๆ
ซงมินโฮ..เด็กหมี..
หมีอ้วนดำ..
ใช่แล้ว!! ซงมินโฮ นายหมีอ้วนดำเป็นรุ่นน้องผมตอนเรียนอยู่มหา’ลัยที่ชอบตามตื๊อจะจีบผมให้ได้
แต่เดี๋ยวนะ...ซงมินโฮคนนั้นทั้งอ้วนทั้งดำแต่คนตรงหน้า...
โคตรหล่อ
โคตรหล่อมาก
โคตรของโคตรหล่อ
โคตรของโคตรหล่อมาก
โคตรๆๆๆๆๆๆหล่อฉิบหายควายตายเลยครับแถมยังสูงมาก จมูกโด่งอย่างกับสันเขื่อน ดวงตาก็คมกริบให้ตายนี่ไม่ใช่คนอ่ะ
ไม่ใช่!!
“มินโฮ
เด็กหมีอ้วนดำ” ผมชี้ไปที่มินโฮอย่างไม่เชื่อสายตานัก
ดูท่าไอ้ฉายาหมีอ้วนดำคงจะใช้ไม่ได้ผลกับคนตรงหน้าแล้วล่ะสิ
“ครับ ไอ้หมีอ้วนดำของพี่นั่นแหละ” ทำไมต้องเน้นคำว่า ‘ของพี่’ ขนาดนั้นด้วยเล่า
“นี่ไปศัลยกรรมมาเหรอวะ” ในเมื่อมันเป็นรุ่นน้องที่รู้จักกันมานานผมก็ทำตัวเป็นกันเองละกัน
“พี่ไม่คิดว่าผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างหรือไงกัน”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องเปลี่ยนวะ” ผมเผลอจ้องตามินโฮ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้มินโฮจะเปลี่ยนไปมากแต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือสายตาคู่นี้...ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม
“พี่ก็รู้นี่”
“หือ?
ฉันเนี่ยนะ เรื่องไร?”
“ก็ผมชอบพี่”
กึก
“ตอนนี้ก็ยังชอบนะ”
สวัสดีครับผมชื่ออีซึงฮุน
อายุ 24 ปี ผมเพิ่งถูกแฟนบอกเลิกเมื่อวานนี้แล้วจู่ๆก็มีรุ่นน้องที่ผมเคยล้อว่าหมีอ้วนดำโผล่เข้ามาแล้วบอกชอบต่อหน้าต่อตาเมื่อห้านาทีที่ผ่านมา
‘ตอนนี้ก็ยังชอบนะ’ งั้นเหรอ
ให้ตายๆผมควรจะเขินดีไหมหรือผมควรจะข่วนหน้ามันเหมือนตอนสมัยเรียนดี ทำไมความรู้สึกนี้มันถึงได้แปลกๆอย่างบอกไม่ถูก
ซงมินโฮคนที่เคยตามตื๊อคนนั้นคือผู้ชายตัวอ้วนกลมผิวดำเหมือนตอตะโกซึ่งเป็นคนเดียวกับผู้ชายตัวสูงหน้าตาหล่อเหลามีผิวสีน้ำผึ้งเย้ายวนใจและมีบอดี้สุดฮอตคนนี้น่ะเหรอ
ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองชะมัด
แถมอีตาบ้านี่ยังบอกอีกว่าผมคือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง...ควรจะรู้สึกไงดีล่ะเนี่ย
“หน้าตาพี่ดูไม่ดีเลย ลุกขึ้นมาล้างหน้าแล้วกินยาเถอะ”
มินโฮพยายามดึงแขนผมให้ลุกออกจากเตียงไม่ต้องใช้แรงมากตัวผมก็ลอยขึ้นมาจากเตียงด้วยภาวะปวดหัวตุบๆอีกครั้ง
อ่า..หัวจะระเบิดตอนนี้จะทำอะไรก็ทำเถอะ จับผมกรอกยาใส่ปากหรือลากผมเข้าไปอาบน้ำหรืออะไรก็ช่างรู้สึกได้ว่าโลกหมุนติ้วๆไปมาคล้ายกับจะเหวี่ยงผมเข้าไปหามินโฮเลยอย่างนั้น
“อ่า..ให้ตาย หัวฉัน..”
“เฮ้!
นี่พี่ไหวป่ะเนี่ย” ไม่ไหวแล้ว..นี่โลกเหวี่ยงจริงๆใช่ไหมเนี่ย
ทำไมผมถึงรู้สึกว่าหน้าของผมมันใกล้มินโฮมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจเบาๆบริเวณผิวแก้ม
ผมสะบัดหน้าไปมาสองครั้งตอนนี้เริ่มทรงตัวได้แล้วและก็เห็นชัดเต็มตาว่าโลกเหวี่ยงผมเข้ามาใกล้ซงมินโฮจริงๆด้วย
นี่ผมสาบานได้ว่าไม่ได้หน้าแดง
“ตัวพี่ยังกลิ่นเหมือนสตรอเบอร์รี่เหมือนเดิมเลย”
มินโฮยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมพลางทำจมูกฟุดฟิดใกล้ๆซอกคอผม
ไม่ไหวแล้วรู้สึกเหมือนโดนแอทแทคจนขยับตัวไม่ได้ตอนนี้ผมนิ่งเป็นรูปปั้นมีชีวิต
นี่หน้าผมแดงมากหรือเปล่าเนี่ยแล้วนี่ใจผมเต้นดังจนทำให้เขาได้ยินไหมนะแล้วไอ้น้ำหอมกลิ่นสตรอเบอรร์รี่ที่ผมใช้เป็นประจำหมอนี่ก็ยังอุตส่าห์จำได้นะ
ทั้งๆที่จีวอนยังไม่เคยใส่ใจเลยด้วยซ้ำ..อ่า..พูดแล้วก็คิดถึง
“นะ..นาย..”
“พี่หน้าโคตรแดงเลยว่ะ”
>///< ให้ตายไม่ไหวแล้ว แบบนี้ไม่ดีเลย..ทำไมใจเต้นแรงแบบนี้เนี่ยมินโฮจะได้ยินหรือเปล่า
ไม่นะผมไม่ได้หวั่นไหวเลยสักนิดแต่คุณลองคิดดูสิหน้าของผมกับหน้าของมินโฮแทบจะติดกันอยู่แล้วจนผมได้กลิ่นน้ำหอมวานิลลาของมินโฮ...จะไม่ให้ใจเต้นแรงได้ยังไงกัน
“ปะ..ปล่อยดิ ปล่อยก่อน” ผมพูดตะกุกตะกักแต่ก็พยายามไม่แสดงออกมาว่าผมกำลังเขินอายอยู่
“นี่พี่ไม่ได้กินข้าวเลยเหรอ ทำไมตัวผอมงี้อ่ะ” มินโฮยื่นมือมาสัมผัสที่หน้าท้องผมเล่นเอาผมสะดุ้งเบาๆก่อนจะใช้มือตีเข้าที่มือมินโฮ
“ฉวยโอกาส” ผมผลักมินโฮให้ออกห่างเปิดประตูออกไปก็มีกลิ่นซุปหอมๆปะทะเข้ารูจมูก
“นายทำอะไรอ่ะ หอมจัง” ผมไม่รีรอที่จะวิ่งไปที่ห้องครัว
ว้าว! นี่มันซุปข้าวโพดของโปรดผมเลยนี่
ผมจำได้ว่าทานครั้งสุดท้ายเมื่อสามเดือนที่แล้วตอนที่แม่มาเยี่ยม
รู้สึกดีจังแค่ได้กลิ่นก็รู้สึกถึงความอิ่มแล้ว
“ของโปรดพี่” มินโฮพูดผมหันไปมองหน้าก่อนจะเม้มปากเข้าหากัน
มินโฮยังคงใส่ใจรายละเอียดเกี่ยวกับผมเหมือนเดิม เขารู้ว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร
เขารู้ว่าทำอะไรแล้วจะทำให้ผมรู้สึกดี น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมไม่ได้ตอบตกลงเป็นแฟนมินโฮเพียงเพราะว่า...เขาอ้วน
ผมยอมรับว่าผมมักมองคนที่ภายนอกในตอนนั้นผมยังเด็กอยู่แค่คิดว่าถ้าได้แฟนหน้าตาดีก็อาจจะทำให้เราดูดีขึ้น
สมัยนั้นเพื่อนๆของผมต่างก็มีแฟนหน้าตาดีกันทั้งนั้นส่วนผมก็มีคนเข้ามาจีบไม่น้อยแต่ส่วนมากก็พากันถอยทัพออกไปเพราะทนนิสัยผมไม่ได้จะมีก็แต่มินโฮนี่แหละที่ตามตื๊อตามจีบผมนานที่สุดจนเพื่อนในคณะแทบจะคิดว่าผมกับมินโฮเป็นแฟนกัน
จำได้ว่าตอนนั้นผมอยู่ปีสามส่วนมินโฮเพิ่งเข้าปีหนึ่ง ผมเรียนด้านอักษรศาสตร์และมินโฮเรียนสถาปัตย์
เพื่อนของผมเป็นแฟนกับเพื่อนมินโฮเราเลยจับพลัดจับผลูมารู้จักกัน
แรกๆมินโฮไม่ได้แสดงออกว่าชอบผมแต่หลังจากผ่านไปสามเดือนเขาก็มักจะเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆตัวผมมากขึ้น
ชอบถามนู่นถามนี่ว่าผมชอบอะไร ชอบชวนผมไปเที่ยวหรืออะไรก็ตามที่แสดงออกว่ากำลังจีบผมอยู่ซึ่งผมก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง
ตอนแรกผมไม่ได้คิดอะไรเพราะคิดว่ามินโฮคงคิดเล่นๆแต่พอเวลาผ่านไปผมถึงได้รู้ว่ามินโฮจริงจังแต่การที่มีเด็กตัวอ้วนดำหน้าบ้านๆเดินตามจีบต้อยๆทุกวันเริ่มทำให้ผมรำคาญและอายคนอื่นๆ
แม้ว่ามินโฮจะปฏิบัติตัวดีและไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผมแต่ก็ใช่ว่าผมจะชอบ
“คิดไรอยู่เนี่ย เละหมดแล้ว” มินโฮแย่งทัพพีในมือผมไปก่อนจะปิดเตาแก๊สยกหม้อซุปข้าวโพดวางลงบนโต๊ะกินข้าว
“กินเลยไหม”
“อะ..อื้อ”
ผมพยักหน้าก่อนจะเดินมานั่งตรงเก้าอี้ตรงข้ามมินโฮ
ร่างสูงเดินไปยิบถ้วยและช้อนแล้วจัดการตักซุปข้าวโพดยื่นมาวางไว้ตรงหน้าผม “ไม่กินเหรอ”
“ผมทำให้พี่น่ะ
ผมไม่หิว” มินโฮว่าก่อนจะนั่งลง
เราไม่ได้พูดอะไรกันถ้าให้พูดจริงๆคือไม่รู้จะคุยอะไรกันมากกว่า ผมไม่ได้เจอมินโฮเลยตั้งแต่เรียนจบมหา’ลัยนี่ก็ผ่านมาเกือบสี่ปีแล้วสินะ
“สี่ปีที่ผ่านมานายหายไปอยู่ไหนอ่ะ” ผมเอ่ยถาม ผมไม่ชอบเลยเวลาที่ผมอยู่กับใครสองต่อสองแล้วเกิดความเงียบ มันทำให้ผมอึดอัดเหมือนมีอะไรกั้นเราสองคนเอาไว้ ยิ่งเป็นคนที่รู้จักแต่ไม่ได้เจอกันมานานแบบนี้ยิ่งทำให้ผมไม่ชอบ มินโฮน่าจะรู้ดีกว่าใครว่าผมเป็นคนแบบนี้
“ทำไมจู่ๆถึงถามเนี่ย”
“ก็แค่อยากรู้”
“พี่สนใจผมด้วยเหรอ
เมื่อก่อนเอาแต่ผลักไส” มินโฮพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกผิด
ผมเม้มปากเบาๆทำเหมือนไม่ใส่ใจแต่จริงๆแล้วในใจผมมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ยอมรับว่าเมื่อก่อนผมชอบไล่มินโฮให้ออกไปจากชีวิต
ผมชอบดูถูกเขามากมายว่าคนอย่างเขาไม่เหมาะสมกับผม
คนอย่างเขามีแต่จะทำให้ผมอับอายขายขี้หน้าคนอื่น แต่พอเขาหายไปจากชีวิตผมรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว
ในเมื่อก่อนหน้านี้รอบกายผมจะมีแต่เด็กตัวอ้วนดำคอยรับใช้อยู่ตลอดเวลา
พอมินโฮหายไปผมถึงเข้าใจ...
“จะเอาเรื่องเก่ามาพูดทำไมเล่า”
“ผมไปอยู่เท็กซัสมา”
มินโฮตอบผมพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าตากินไม่เอ่ยปากถามอะไรอีก
แต่แล้วก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเป็นคำถามที่ผมอยากถามมากถ้าเกิดได้เจอเขาอีกหลังจากเรียนจบ
“ทำไมวันนั้นถึงไม่มา” มินโฮเงยหน้ามองผมพลางเลิกคิ้วสงสัย
“วันไหน”
“นายรู้
อย่ามาทำเป็นเหมือนไม่รู้ได้ป่ะ” ผมวางช้อนลงแล้วสบดวงตาคมนั่นเล่นเอารู้สึกใจเต้นแปลกๆ
“อย่าเงียบ”
“ผมจำไม่ได้
มันผ่านมาหลายปีแล้วนะ” มินโฮลุกขึ้นเก็บถ้วยซุปแล้วเดินไปวางในอ่างล้างจาน
คำพูดและท่าทางกวนประสาทของเขาทำให้ผมโมโหอาการปวดหัวที่หายเริ่มกลับมาอีกครั้งทันทีที่ผมลุกขึ้นจะเดินไปหามินโฮ
ผมใช้มือค้ำขอบโต๊ะเอาไว้ก่อนจะสะบัดหัวยืนตัวตรงแล้วอาการที่ว่าก็เริ่มทุเลาลง
“ก็วันนั้นไง วันนั้นน่ะ”
“พี่ซึงฮุน
ผมจำไม่ได้จริงๆว่าวันนั้นของพี่มันคือวันไหน” นายจำได้ซงมินโฮแต่นายทำเป็นจำไม่ได้แค่นั้น
หมอนี่กำลังทำให้ผมโมโหดูจากแววตาขี้เล่นแต่แฝงไปด้วยความกวนประสาทนั่นยิ่งทวีความโมโหของผมเข้าไปอีก
“ว่าไงครับ ตกลงวันไหน”
“ก็วันรับปริญญาไง ไหนนายบอกว่าจะมาหาฉัน ทำไมนายไม่มา!!”
ผมตะโกนใส่หน้ามินโฮกำหมัดแน่นเมื่อมินโฮทำเหมือนจำไม่ได้จริงๆ
ไอ้บ้าเอ๊ย! ทั้งที่นายอุตส่าห์นัดฉันไว้แท้ๆแต่ตัวเองกลับหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ไม่คิดบ้างหรือไงว่าฉันต้องนั่งรอนายตั้งกี่ชั่วโมง
มินโฮดูอึ้งๆไปนิด
“ผม..นึกว่าพี่จะไม่ไป” แล้วความเงียบก็ครอบงำพวกเราอีกครั้ง
มินโฮถอยหายใจเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง ผมคิดว่าเขากำลังรู้สึกไม่ดี “ก็พี่ไม่ตอบข้อความ ผมนึกว่าพี่เกลียดผม”
“นายก็เลยไม่มางั้นเหรอ
งี่เง่าที่สุด! ฉันนั่งรอนายเป็นชั่วโมงๆเพราะข้อความที่นายส่งมา
นายกำลังจะไป..นายจะไปจากฉันน่ะ!” นิสัยขี้เหวี่ยงและใจร้อนของผมเริ่มกำเริบขึ้นอีกแล้ว
พอมินโฮพูดผมก็สวนกลับอย่างโมโหทั้งที่ผมไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนคบกับจีวอน
เพราะก่อนที่จะคบกันจีวอนบอกว่าไม่ชอบคนขี้เหวี่ยงขี้วีนและขี้โมโหดังนั้นผมเลยต้องเก็บนิสัยเหล่านั้นไม่ให้มันออกมาต่อหน้าจีวอนมันจึงไม่แปลกที่ผมไม่เคยตามไปหึงหวงจีวอนเลย
แต่พออยู่กับเด็กบ้านี่ทีไรเหมือนเขาค่อยๆขุดความเป็นซึงฮุนขึ้นมาทีละนิด
จากที่ผมเคยใจเย็นมากกว่านี้เป็นอันว่าแค่มินโฮพูดอะไรนิดหน่อยผมก็พร้อมที่จะระเบิดใส่เขา
ให้ตายเถอะ..ผมไม่ควรทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้เลย
“อย่าโมโหสิ” แต่มินโฮกลับเป็นคนที่เข้าใจผมทุกอย่าง
เขาทำเหมือนอ่านใจผมได้ทำเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
เขาไม่เคยตะคอกหรือด่าผมกลับด้วยซ้ำตอนที่ผมว่าเขาเป็นหมีอ้วนดำ
พอย้อนคิดไปตอนนั้นผมรู้เลยว่าตัวผมมันแย่เอามากๆ “ผมก็อยู่นี่แล้วไง”
มินโฮจับมือผมมากุมไว้..
“นายไปไม่บอกฉันสักคำ
แค่ฉันบอกว่ารำคาญนาย ฉันเบื่อที่นายมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ นายก็ยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ
แล้วที่ฉันบอกให้นายไปลดความอ้วนน่ะฉันแค่พูดเล่นนายไม่ต้องทำจริงก็ได้
ทำไมนายต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อฉันขนาดนี้ล่ะ ทำไม!!”
“ก็ผมชอบพี่!”
มินโฮตอบสวนทันทีที่ผมพูดจบ
ใบหน้าคมคายแสดงออกทุกอย่างเหมือนสี่ปีที่แล้ว
คำว่าชอบที่ออกมาจากปากมินโฮในวันนั้นกับวันนี้ยังคงเหมือนเดิมแม้วันเวลาจะเลยผ่านไปนานแค่ไหน
ผมไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงถึงจะเคยโดนมินโฮบอกชอบมาหลายครั้งแล้วแต่ผมไม่ชิน..ไม่ชินเลยที่ดวงตาตู่นั้นแสดงถึงความรักและห่วงใยผมมากแค่ไหน
“ผมชอบพี่มาก พี่ก็รู้ว่าผมยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่ต่อให้พี่ไม่สนใจผม”
คำพูดโกหกได้...แต่สายตาไม่เคยโกหกใคร
“ฉันจะกลับ” ผมเดินออกไปจากห้องครัวแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนมินโฮ หยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วเดินออกมามินโฮยืนอยู่ตรงหน้าห้องมองผมด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออก ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม...ไม่พร้อมที่จะคุยกับมินโฮ ผมผลักไหล่มินโฮแล้วเดินไปที่ประตูกำลังจะบิดลูกบิดแต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมกำลังกระทำอยู่ก็หยุดชะงักราวกับมีใครมากดพอสเอาไว้
มินโฮคว้าเอวผมแล้วกอดจากด้านหลังใบหน้าคมคายกดลงบนลาดไหล่เล็กของผมมือที่สั่นเทาของเขากุมมือที่เย็นเฉียบของผมเอาไว้แน่นพอๆกับแรงกอดราวกับว่าไม่อยากปล่อยผมให้ไปไหนอีก
ดวงตาของผมที่ตี่เล็กเบิกกว้างด้วยความตกใจโทรศัพท์ที่อยู่ในมือตกลงบนพื้นโดยที่ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะพังหรือเปล่าเพราะตอนนี้ผมรับรู้ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เสียงมินโฮที่กระซิบแผ่วเบาตรงหูของผม..
“เมื่อไหร่พี่จะชอบผมสักที”
น้ำเสียงของเขาทำให้ผมเจ็บ...
.
.
.
.
“นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่มินโฮ”
น้ำเสียงแผ่วเบาจากคนในอ้อมกอดดูสั่นครือ อ่อนแรง และจวนเจียนจะร้องไห้
ผมเจ็บปวดเหลือเกิน
เจ็บปวดที่ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมก็ไม่สามารถที่จะเป็นเจ้าของหัวใจของพี่เขาได้สักที
“นายเป็นคนหนีฉันไป แล้วนายยังต้องการอะไรจากฉันอีก”
“พี่...”
“ฉันขอเวลา มินโฮ” พี่ซึงฮุนดิ้นอีกครั้งเพื่อให้ตนเองหลุดจากอ้อมกอดของผม ใบหน้าใสตอนนี้มันช่างซีดเผือดดวงตาตี่เล็กที่เคยมองผมเหยียดๆทุกครั้งที่เจอกันตอนนี้ทอดอ่อนลง ความอ่อนล้าทั้งกายใจแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังนั้นทำให้ผมชะงักไป “ขอฉันทบทวนทุกอย่างก่อน ตอนนี้ฉันไม่พร้อมสำหรับอะไรทั้งนั้น นายอย่าเร่งรัดอะไรฉันอีกเลย”
ผมมองคนตรงหน้านิ่งๆ อีกฝ่ายก้มหน้าลง
ความรู้สึกแย่ๆกำลังปกคลุมเราทั้งสองคน
ความเงียบเป็นคำตอบที่ดีว่าผมไม่ควรก้าวก่ายเขาอีก
“ถ้าพี่ต้องการแบบนั้น....”ผมก้มลงเก็บทุกอย่างบนพื้นก่อนจะคว้ามืออีกฝ่าย “ผมจะเริ่มหนึ่งใหม่ และผมจะไม่ยอมแพ้ทั้งนั้น ผมจะไม่หายไปไหนทั้งนั้น พี่เตรียมใจไว้เถอะ”
พี่ซึงฮุนเบิกตากว้าง ผมดึงอีกฝ่ายให้เดินเข้ามาในห้องก่อนจะดันอีกฝ่ายให้นั่งที่โซฟา สีหน้างุดงงถูกส่งมาไม่ขาดสาย ผมยิ้มเหมือนเช่นวันวาน
ในเมื่อพี่เขากำลังไม่สบายใจ การทำให้พี่เขาสบายใจดูจะเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้
“พี่ยังปวดหัวอยู่ใช่ไหม”
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร ทำท่าจะเก็บของอีกครั้งจนผมต้องปรามเบาๆ
“ถ้าพี่ออกไปจากห้องนี้ ผมจะปล้ำพี่ตรงประตูนั่นแหละ”
อีกฝ่ายอ้าปากค้าง ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ มือที่กำลังชะงักหันมาชี้ที่ผมก่อนจะพ่นคำด่านานาที่ทำให้ผมหลุดขำเบาๆ
ปากดีนักนะ
แต่ก็ทำให้คิดถึงเรื่องราวสมัยก่อนเหลือเกิน....
“นายนี่มันโรคจิตจริงๆ”ผมยิ้มเหมือนคนบ้าเมื่อเมื่ออีกฝ่ายหยุดด่าไปเมื่อครู่ ชาร้อนถูกวางไว้ที่ตรงหน้า
“กินชานี่ก่อน แล้วเดียวผมไปส่งพี่เอง”
“ฉันกลับเองได้น่า”บ่นงืมงำก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างจับถ้วยชา ริมฝีปากเล็กค่อยๆละเมียดละไมดื่ม กลิ่นหอมๆคงทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายไม่น้อย คิ้วที่ขมวดเมื่อครู่คลายลง
ยามที่ใบหน้าพริ้มของพี่ซึงฮุนดื่มชาเหมือนเป็นช่วงที่หยุดเวลาไว้
ทั้งๆที่มันเป็นเพียงชั่วครู่
ให้ตาย ผมตกหลุมรักคนคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นาย มินโฮ”ผมหลุดออกจากภวังค์เมื่ออีกฝ่ายเอามือกวักที่หน้า ให้ตาย นี่ผมเหม่อคิดไปถึงไหนกันนะ พี่ซึงฮุนเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋ากางเกงก่อนละลุกขึ้นอีกครั้ง ส่งสายตาเป็นเชิงเร่งรัดให้ผมไปส่งตามที่พูดไว้เร็วๆ
ท่าทางนั่นมันทำให้ผมอดใจไม่ไหว
ผมลุกขึ้นเต็มความสูงอีกครั้งก่อนจะคว้าท้ายทอยกลมอีกฝ่ายมารองรับจูบที่หน้าผาก
ความหอมอ่อนๆ กลิ่นสตอเบอร์รี่ที่ผมชอบมันทำให้ผมอยากกิน
“นี่นายหยุดเลยนะ”ผมถูกผลักอกเต็มแรง พี่ซึงฮุนตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำยิ่งน่ารัก
ผมอยากแกล้งเขาอีก แต่พี่เขาไม่ชอบเท่าไร
ผมรู้ทุกอย่างที่เป็นอีซึงฮุน ผมรู้ทุกอย่างจริงๆ
“ไม่แกล้งแล้วครับ เดียวไปส่งนะ”
และถ้าให้ผมหยุดที่จะรักเขา ผมคงทำไม่ได้จริงๆเหมือนกัน....
แว่นสายตากรอบใสถูกสวมอีกครั้ง ผมเดินเข้าร้านกาแฟร้านเดิม...
ร้านที่ผมถูกคิมจีวอนขอเป็นแฟนเมื่อสองปีก่อน
และถูกบอกเลิกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั่นแหละ
เหลือเพียงอีกหนึ่งอาทิตย์ นิยายของผมจะได้ตีพิมพ์แล้ว
สิ่งที่ผมใฝ่ฝันมันกำลังจะเป็นจริงแล้ว
...ตลกสิ้นดีที่ครั้งนี้ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีคิมจีวอนนั่งอยู่ข้างๆเหมือนเมื่อก่อนก็ตาม แต่กลับมีคนน่ารำคาญในวันวานกลับมาแทน
ซงมินโฮ
เขาฮอตยิ่งกว่าอะไรสิ้นดี นี่ขนาดเขามานั่งกับผมนะ ยังมีผู้หญิงโต๊ะอื่นส่งสายตามาไม่ขาดสาย แถมบริการแจกขนมให้จนบนโต๊ะมีเค้กประมาณสามก้อนแล้ว
เหอะ
ผมไม่ได้อิจฉาเขาหรอก ผมสาบานเลย
ก็แค่...อาจจะหมั่นไส้นิดหน่อยละมั้ง
“สายตาพี่แทบจะฆ่าผมแล้วนะ” ชิ รู้อีก
“ฉันเฉยๆ ถ้านายจะมาแล้วปากเสียใส่ก็นิ่งไปเลย” ตวัดสายตาใส่ด้วยความเผลอ อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอก่อนจะส่งยิ้มมุมปาก
วันนี้ซงมินโฮใส่เสื้อกล้ามสีเทาตัวบางพร้อมกับสวมแว่นตากรอบดำ ทรงผมด้านหน้าออกจะยาวนิดหน่อยเซตข้างก่อนจะปัดมาทางซ้าย ใบหน้าคมหันออกทางหน้าต่าง ผมเห็นรอยสักบนอกเขาพาดออกมาจนเลยออกมาตรงหัวไหล่ สีของมันดำสนิทตัดกับผิวสีน้ำผึ้งนวล
ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมกำลังร้อนผ่าว
แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้เขินหรอก ผมคิดว่านะ
“หึ พี่ซึงฮุน จ้องผมทำไมครับ”
“เปล่า” กระแอมไอในลำคอก่อนที่จะยกแลปทอปขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
แสร้งทำเป็นพิมพ์อะไรต่างๆนาๆ ทั้งที่ความจริงสมองไม่ได้แล่นไหลเลยแม้แต่น้อย
แค่ต้องหาอะไรทำเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแค่นั้นเอง
ทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่นิสัยของผมสักนิด
ผ่านไปสักพัก หลังจากสมองไม่ลื่นไหลอย่างที่ควรจะเป็น ผมทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนที่จะยกชาขึ้นจิบ ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋าดังเดิม
วางเงินไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นโดยไม่ได้อีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสักคำ
“จะไปไหน” ซงมินโฮเอ่ยเมื่อเห็นผมเตรียมท่าจะออกไปจากร้าน
“ไปหาแรงบันดาลใจ ไม่ต้องตามมาหรอก อยากอยู่คนเดียว”
อีกฝ่ายชะงักก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งๆเช่นเดิม
ผมมองอีกฝ่ายก่อนจะเผลอนิ่งไปเช่นกัน
ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกของซงมินโฮเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม แต่นิสัยเขาเวลาโดนขัดใจแล้วจะทำหน้านิ่งนี่มันก็ยังเหมือนเดิมจริงๆ มันไม่ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่ได้เปลี่ยนตามภาพภายนอก
...ไม่เปลี่ยนจริงๆ
“พี่ยิ้มอะไร ไม่ไปหรอ”
ผมรีบปั้นสีหน้าให้นิ่งอย่างรวดเร็ว ให้ตาย นี่ผมเผลอยิ้มงั้นหรอ แค่คิดเรื่องสมัยก่อนนิดเดียวแท้ๆ สีหน้าของผมมันแสดงออกมาง่ายขนาดนี้เชียวหรอเนี่ย ไม่ได้การ ผมควรจะฝึกทำหน้านิ่งๆบ้างแล้วหล่ะ
“ไปด้วยกันไหมหล่ะ”
“...ห๊ะ”
“ก็นายงอแง จะไปกับฉันไหมหล่ะ
สรุปแล้วผมก็ได้คนขับรถมาหนึ่งคน ซงมินโฮดูอารมณ์ดีขึ้นเป็นกองเมื่อผมปล่อยให้เขาตามผมมา ดูง่ายๆจากริมฝีปากหยักเข้มนั่นยกยิ้มบ้างสลับกับฮัมเพลงที่เปิดบนรถ ถึงตอนแรกอีกฝ่ายจะดูตกใจกับที่ที่ผมจะไปมากก็ตาม
“พี่จะไปไหน”
“ทะเล”
“ห๊ะ? ทะเลตอนนี้อ่ะนะ”
“จะไปไม่ไปก็เรื่องของนายเหอะ”
“ผมไม่ปล่อยให้พี่ไปคนเดียวแน่ๆเหอะ”
ผมยกยิ้มอีกครั้งเมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้
เรากำลังจะไปทะเล
ไปแบบไม่มีแผน ไม่มีการเตรียมตัว ไปแบบไม่มีอะไรเลยจริงๆ
ซงมินโฮยังคงขับรถไปด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไปอยู่เมืองนอกมาแต่คงไม่ถึงกับขนาดลืมทางหรอก ในเมื่อทะเลอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก และเมื่อสมัยที่ผมเรียนมหาลัยทั้งผมและเขาเคยไปทำกิจกรรมทางชมรมด้วยกัน
จู่ๆก็รู้สึกอยากไปอีกครั้ง
ความเอาแต่ใจของผมนี่มันไม่ดีเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ
“เอา รับไปสิ”มินโฮส่งกาแฟร้อนให้ก่อนจะนั่งลงตรงข้าง เรามาถึงที่หมายในช่วงใกล้ค่ำ
ให้กินกาแฟตอนดึกเนี่ยนะ?
“แปลกคนจริง” ผมรับมาอย่างไม่ทุกร้อนก่อนที่จะจิบมันเบาๆ ความอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย ก่อนที่มินโฮผละออกไปรับกุญแจห้องพัก(ที่อีกฝ่ายออกเงินให้)และกวักมือเรียกผม ผมวางกาแฟนั่นลงก่อนเดินไปหาอีกฝ่าย
“มันเหลือห้องเดียว...”
“ก็เอาห้องเดียวหล่ะ”
“แต่พี่..”
“ก็บอกห้องเดียวกันไง เป็นไรหล่ะ แค่นอนคืนสองคืน เช่าหลายห้องมันเปลือง”ผมตอบอย่างไม่หยี่ระก่อนจะคว้ากุญแจ”ฉันไปรอที่ห้องนะ”พูดจบก่อนจะคว้าเสื้อผ้า(ที่แวะซื้อ)ของผมกับมินโฮถือไป
หลังจากที่จัดการธุระต่างๆเสร็จ ผมก็เดินออกมานั่งชมวิวที่ระเบียงห้องพัก อากาศเย็นสบายทำให้ผมรู้สึกดี เนื่องจากห้องพักที่เช่าค่อนข้างเป็นส่วนตัวเหมืองบังกะโลเลยทำให้ผมไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่เป็นส่วนตัวไปเลย
ชักไม่อยากอยู่แค่สองวันแล้วสิ
ผมหยิบบุหรี่ขึ้นคาบไว้ ความจริงผมไม่ค่อยสูบหรอกเพราะว่าผมเหม็น แต่บางครั้งการได้นิโคตินเข้าร่างกายก็ทำให้สมองโล่งดีเหมือนกัน
จุดก่อนพ่นควันออกมา ลมพัดปลิวจางหายไปอย่างรวดเร็ว ผมถอนหายใจก่อนเอาแขนพาดกับราวไม้
อากาศเย็นๆแบบนี้ทำให้ผมอยากมากกว่านิโคติน
ผมต้องการแอลกอฮอล์ด้วย
ผมสูบอีกสองอึกใหญ่ๆก่อนจะขยี้กับกระถางต้นไม้
ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากลำคอเมื่อครู่เริ่มจางหายไปแล้ว ก่อนที่สมองจะนึกถึงคนที่ทิ้งไป
คิมจีวอน....
“...เอ้า” กระป๋องเบียร์ถูกส่งให้ผม ความเย็นสัมผัสที่ไหล่จนสะดุ้ง ผมหันไปทางมินโฮที่ยืนกระดกอยู่ข้างๆ
ถ้าผมไม่เจอมินโฮ ป่านนี้ผมอาจจะฟูมฟายกว่านี้ก็ได้
รับมาเงียบๆก่อนจะกระดกเพียงนิดหน่อย เพราะผมรู้ตัวดีว่าคอไม่ได้แข็งอะไรมากมาย
“พี่คิดอะไรอยู่”
“คิดถึงจีวอน”ผมตอบกลับไปตรงๆ
“พี่นี่แปลกนะ”
“ฉันแปลกยังไง”กระดกอีกครั้งก่อนหันไปมองซงมินโฮ อีกคนแค่ยืนนิ่งๆ ไม่ได้หันมามอง ไม่ได้ตอบคำถาม ดวงตาคมมองท้องฟ้า วันนี้ช่างโชคดีที่เมฆไม่ปกคลุมทำให้เห็นดาวต่างๆได้ชัดเจน
ผมมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าอย่างไงเพราะแสงจากในห้องไม่ได้สว่างมากพอจะสะท้อนให้เห็น แถมระเบียงผมก็ไม่ได้เปิดไฟจึงไม่แปลกที่ทุกอย่างจะดูสลัวไปหมด
ความอบอุ่นจากนิโคตินเริ่มจางหายกลายเป็นแอลกอฮอล์ที่ทำให้คอร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปหมด ผมถอดเสื้อออกเพราะเริ่มร้อนก่อนเอาพาดไหล่ ไม่ไหว ผมเมาแล้วแน่ๆ
คิดได้ดังนั้นผมเลยลุกขึ้น เซนิดหน่อยจนคนข้างๆต้องรั้งแขนไว้
“พี่จะไปไหน”
“นอนไง” ผมปัดแขนคนตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในตัวห้อง ทิ้งตัวลงบนที่นอนในแนวขวางก่อนจะกางแขนขากว้าง รับรู้ถึงพื้นที่ข้างๆที่ยุบตัวลง ผมตะแคงหน้ามองอีกคนที่มองมาก่อนหน้านี้เช่นกัน
แอลกอฮอล์ทำให้ผมยับยั้งสติไม่ได้
“เพราะนายทิ้งฉันไป เพราะนายคนเดียว....”
“....”
“ไอ้หมีดำซงมินโฮ ไอ้บ้า”
“....”
“คิดถึงนายนะ”ปิดตาลงก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
อา...
เหมือนความรู้สึกเดิมๆกลับมาอีกแล้ว
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนๆ แสงแดดที่ส่องมาทางหน้าต่างบ่งบอกว่าผมคงตื่นสาย ไม่สิ ตื่นเที่ยงเลยหล่ะ สะบัดผ้าห่มก่อนนั่งสะลึมสะลือเล็กน้อย หาวออกมาโดยที่ไม่ยกมือปิดปากก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้น ผมหันไปมองก่อนจะเห็นว่าเป็นซงมินโฮที่ยืนหัวเราะพิงประตู
เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ย่าห์ นี่นายขำฉันหรอห๊ะ”
“เปล่า พี่เหมือนแมวเลยอ่ะ ลืมตาพูดกับผมสิ”เดินเข้ามาก่อนจะใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างดันหางตาผมแล้วหัวเราะ “เหมือนสิงโตมากกว่า ดุไม่พอแถมผมฟูอีกต่างหาก”
ใครใช้ให้มายืนใกล้ขนาดนี้เนี่ย
ผมตีมือคนตรงหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ ใจเจ้ากรรมสั่นเหมือนผีบ้าเข้าสิง
ซงมินโฮยังคงคอนเสปเสื้อกล้ามย้วยเช่นเคย ทำไมจู่ๆหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
รู้สึกเหมือนโดนอ่อยชอบกล แต่ผมคิดว่าผมคงคิดไปเอง...คิดว่านะ
ผมอ้าปากค้างเมื่ออีกคนถอดเสื้อต่อหน้าต่อตา
“ถ..ถะ ถอดทำไม”
“เจ๊ากันไง พี่เห็นของผมแล้วนะ”ส่งยิ้มโชว์ฟันขาวตัดกับสีผิวก่อนเดินผิวปากเลือกเสื้อผ้าไป
เจ๊าหรอ...
เดี๋ยวนะ
อย่าบอกนะว่าเมื่อคืน...
“ย่าห์ เมื่อคืนฉันแก้ผ้าหรอ!!!!!”
หลังจากชุลมุนทั้งมือและเท้าเมื่อวานนั้น เวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกินจนผมยังรู้สึกตกใจ
ผมรู้สึกเหมือนวันเวลาที่เหมือนเมื่อคราวก่อนมันหวนกลับมา รวมทั้งความรู้สึกต่างๆก็ถูกรื้อฟื้นมาเช่นกัน ผมสามารถทำอะไรก็ได้ จะงอแงงี่เง่าเท่าไรก็ได้ ซงมินโฮดูแลผมดีจนผมเองแทบไม่ต้องทำอะไร ทุกสิ่งต่างเข้ามาเหมือนคนรู้ใจที่คุ้นเคย
“พี่เก็บของหมดหรือยัง”
“นายนั่นแหละ เก็บหมดหรือยัง ฉันไม่มีอะไรมาอยู่แล้วนี่”
ซงมินโฮหิ้วของใส่ท้ายรถก่อนจะเดินกลับไปที่ล็อบบี้เพื่อจัดการเช็คเอ้าท์ ผมที่ขี้เกียจจึงรออยู่ที่รถ แลปทอปถูกสไลด์ไปเรื่อยๆเพื่อเช็คข้อมูลที่ทางสำนักพิมพ์ติดต่อมาทางอีเมล์ ยกยิ้มพอใจเมื่อรับรู้ว่าทางสำนักพิมพ์ส่งรูปเล่มตัวอย่างไปที่บ้านเรียบร้อยแล้ว
ออกจากโปรแกรมอีเมล์ก่อนจะเปิดโทรศัพท์แทน เข้าโปรแกรมอินสตาแกรมก่อนเช็คดูว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง สะดุดกับแจ้งเตือนที่ค่อนข้างเยอะก่อนจะกดเข้าไปดู
มันคือรูปผมที่ยืนอยู่ในทะเลด้านหลัง กับซงมินโฮที่นั่งถ่ายเพียงแค่ครึ่งหน้า....
นี่ไอ้หมีดำมันแอบเล่นโทรศัพท์ผมตอนไหนกัน
กดเข้าไปอ่านแคปชั่นก่อนจะสะดุดกับข้อความเรียบง่าย แต่เรียกความรู้สึกบางอย่างให้ตีตื้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย
.
.
.
“นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่มินโฮ”
น้ำเสียงแผ่วเบาจากคนในอ้อมกอดดูสั่นครือ อ่อนแรง และจวนเจียนจะร้องไห้
ผมเจ็บปวดเหลือเกิน
เจ็บปวดที่ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมก็ไม่สามารถที่จะเป็นเจ้าของหัวใจของพี่เขาได้สักที
“นายเป็นคนหนีฉันไป แล้วนายยังต้องการอะไรจากฉันอีก”
“พี่...”
“ฉันขอเวลา มินโฮ” พี่ซึงฮุนดิ้นอีกครั้งเพื่อให้ตนเองหลุดจากอ้อมกอดของผม ใบหน้าใสตอนนี้มันช่างซีดเผือดดวงตาตี่เล็กที่เคยมองผมเหยียดๆทุกครั้งที่เจอกันตอนนี้ทอดอ่อนลง ความอ่อนล้าทั้งกายใจแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังนั้นทำให้ผมชะงักไป “ขอฉันทบทวนทุกอย่างก่อน ตอนนี้ฉันไม่พร้อมสำหรับอะไรทั้งนั้น นายอย่าเร่งรัดอะไรฉันอีกเลย”
ผมมองคนตรงหน้านิ่งๆ อีกฝ่ายก้มหน้าลง
ความรู้สึกแย่ๆกำลังปกคลุมเราทั้งสองคน
ความเงียบเป็นคำตอบที่ดีว่าผมไม่ควรก้าวก่ายเขาอีก
“ถ้าพี่ต้องการแบบนั้น....”ผมก้มลงเก็บทุกอย่างบนพื้นก่อนจะคว้ามืออีกฝ่าย “ผมจะเริ่มหนึ่งใหม่ และผมจะไม่ยอมแพ้ทั้งนั้น ผมจะไม่หายไปไหนทั้งนั้น พี่เตรียมใจไว้เถอะ”
พี่ซึงฮุนเบิกตากว้าง ผมดึงอีกฝ่ายให้เดินเข้ามาในห้องก่อนจะดันอีกฝ่ายให้นั่งที่โซฟา สีหน้างุดงงถูกส่งมาไม่ขาดสาย ผมยิ้มเหมือนเช่นวันวาน
ในเมื่อพี่เขากำลังไม่สบายใจ การทำให้พี่เขาสบายใจดูจะเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้
“พี่ยังปวดหัวอยู่ใช่ไหม”
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร ทำท่าจะเก็บของอีกครั้งจนผมต้องปรามเบาๆ
“ถ้าพี่ออกไปจากห้องนี้ ผมจะปล้ำพี่ตรงประตูนั่นแหละ”
อีกฝ่ายอ้าปากค้าง ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ มือที่กำลังชะงักหันมาชี้ที่ผมก่อนจะพ่นคำด่านานาที่ทำให้ผมหลุดขำเบาๆ
ปากดีนักนะ
แต่ก็ทำให้คิดถึงเรื่องราวสมัยก่อนเหลือเกิน....
“นายนี่มันโรคจิตจริงๆ”ผมยิ้มเหมือนคนบ้าเมื่อเมื่ออีกฝ่ายหยุดด่าไปเมื่อครู่ ชาร้อนถูกวางไว้ที่ตรงหน้า
“กินชานี่ก่อน แล้วเดียวผมไปส่งพี่เอง”
“ฉันกลับเองได้น่า”บ่นงืมงำก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างจับถ้วยชา ริมฝีปากเล็กค่อยๆละเมียดละไมดื่ม กลิ่นหอมๆคงทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายไม่น้อย คิ้วที่ขมวดเมื่อครู่คลายลง
ยามที่ใบหน้าพริ้มของพี่ซึงฮุนดื่มชาเหมือนเป็นช่วงที่หยุดเวลาไว้
ทั้งๆที่มันเป็นเพียงชั่วครู่
ให้ตาย ผมตกหลุมรักคนคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นาย มินโฮ”ผมหลุดออกจากภวังค์เมื่ออีกฝ่ายเอามือกวักที่หน้า ให้ตาย นี่ผมเหม่อคิดไปถึงไหนกันนะ พี่ซึงฮุนเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋ากางเกงก่อนละลุกขึ้นอีกครั้ง ส่งสายตาเป็นเชิงเร่งรัดให้ผมไปส่งตามที่พูดไว้เร็วๆ
ท่าทางนั่นมันทำให้ผมอดใจไม่ไหว
ผมลุกขึ้นเต็มความสูงอีกครั้งก่อนจะคว้าท้ายทอยกลมอีกฝ่ายมารองรับจูบที่หน้าผาก
ความหอมอ่อนๆ กลิ่นสตอเบอร์รี่ที่ผมชอบมันทำให้ผมอยากกิน
“นี่นายหยุดเลยนะ”ผมถูกผลักอกเต็มแรง พี่ซึงฮุนตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำยิ่งน่ารัก
ผมอยากแกล้งเขาอีก แต่พี่เขาไม่ชอบเท่าไร
ผมรู้ทุกอย่างที่เป็นอีซึงฮุน ผมรู้ทุกอย่างจริงๆ
“ไม่แกล้งแล้วครับ เดียวไปส่งนะ”
และถ้าให้ผมหยุดที่จะรักเขา ผมคงทำไม่ได้จริงๆเหมือนกัน....
แว่นสายตากรอบใสถูกสวมอีกครั้ง ผมเดินเข้าร้านกาแฟร้านเดิม...
ร้านที่ผมถูกคิมจีวอนขอเป็นแฟนเมื่อสองปีก่อน
และถูกบอกเลิกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั่นแหละ
เหลือเพียงอีกหนึ่งอาทิตย์ นิยายของผมจะได้ตีพิมพ์แล้ว
สิ่งที่ผมใฝ่ฝันมันกำลังจะเป็นจริงแล้ว
...ตลกสิ้นดีที่ครั้งนี้ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีคิมจีวอนนั่งอยู่ข้างๆเหมือนเมื่อก่อนก็ตาม แต่กลับมีคนน่ารำคาญในวันวานกลับมาแทน
ซงมินโฮ
เขาฮอตยิ่งกว่าอะไรสิ้นดี นี่ขนาดเขามานั่งกับผมนะ ยังมีผู้หญิงโต๊ะอื่นส่งสายตามาไม่ขาดสาย แถมบริการแจกขนมให้จนบนโต๊ะมีเค้กประมาณสามก้อนแล้ว
เหอะ
ผมไม่ได้อิจฉาเขาหรอก ผมสาบานเลย
ก็แค่...อาจจะหมั่นไส้นิดหน่อยละมั้ง
“สายตาพี่แทบจะฆ่าผมแล้วนะ” ชิ รู้อีก
“ฉันเฉยๆ ถ้านายจะมาแล้วปากเสียใส่ก็นิ่งไปเลย” ตวัดสายตาใส่ด้วยความเผลอ อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอก่อนจะส่งยิ้มมุมปาก
วันนี้ซงมินโฮใส่เสื้อกล้ามสีเทาตัวบางพร้อมกับสวมแว่นตากรอบดำ ทรงผมด้านหน้าออกจะยาวนิดหน่อยเซตข้างก่อนจะปัดมาทางซ้าย ใบหน้าคมหันออกทางหน้าต่าง ผมเห็นรอยสักบนอกเขาพาดออกมาจนเลยออกมาตรงหัวไหล่ สีของมันดำสนิทตัดกับผิวสีน้ำผึ้งนวล
ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมกำลังร้อนผ่าว
แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้เขินหรอก ผมคิดว่านะ
“หึ พี่ซึงฮุน จ้องผมทำไมครับ”
“เปล่า” กระแอมไอในลำคอก่อนที่จะยกแลปทอปขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
แสร้งทำเป็นพิมพ์อะไรต่างๆนาๆ ทั้งที่ความจริงสมองไม่ได้แล่นไหลเลยแม้แต่น้อย
แค่ต้องหาอะไรทำเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแค่นั้นเอง
ทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่นิสัยของผมสักนิด
ผ่านไปสักพัก หลังจากสมองไม่ลื่นไหลอย่างที่ควรจะเป็น ผมทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนที่จะยกชาขึ้นจิบ ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋าดังเดิม
วางเงินไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นโดยไม่ได้อีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสักคำ
“จะไปไหน” ซงมินโฮเอ่ยเมื่อเห็นผมเตรียมท่าจะออกไปจากร้าน
“ไปหาแรงบันดาลใจ ไม่ต้องตามมาหรอก อยากอยู่คนเดียว”
อีกฝ่ายชะงักก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งๆเช่นเดิม
ผมมองอีกฝ่ายก่อนจะเผลอนิ่งไปเช่นกัน
ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกของซงมินโฮเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม แต่นิสัยเขาเวลาโดนขัดใจแล้วจะทำหน้านิ่งนี่มันก็ยังเหมือนเดิมจริงๆ มันไม่ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่ได้เปลี่ยนตามภาพภายนอก
...ไม่เปลี่ยนจริงๆ
“พี่ยิ้มอะไร ไม่ไปหรอ”
ผมรีบปั้นสีหน้าให้นิ่งอย่างรวดเร็ว ให้ตาย นี่ผมเผลอยิ้มงั้นหรอ แค่คิดเรื่องสมัยก่อนนิดเดียวแท้ๆ สีหน้าของผมมันแสดงออกมาง่ายขนาดนี้เชียวหรอเนี่ย ไม่ได้การ ผมควรจะฝึกทำหน้านิ่งๆบ้างแล้วหล่ะ
“ไปด้วยกันไหมหล่ะ”
“...ห๊ะ”
“ก็นายงอแง จะไปกับฉันไหมหล่ะ
สรุปแล้วผมก็ได้คนขับรถมาหนึ่งคน ซงมินโฮดูอารมณ์ดีขึ้นเป็นกองเมื่อผมปล่อยให้เขาตามผมมา ดูง่ายๆจากริมฝีปากหยักเข้มนั่นยกยิ้มบ้างสลับกับฮัมเพลงที่เปิดบนรถ ถึงตอนแรกอีกฝ่ายจะดูตกใจกับที่ที่ผมจะไปมากก็ตาม
“พี่จะไปไหน”
“ทะเล”
“ห๊ะ? ทะเลตอนนี้อ่ะนะ”
“จะไปไม่ไปก็เรื่องของนายเหอะ”
“ผมไม่ปล่อยให้พี่ไปคนเดียวแน่ๆเหอะ”
ผมยกยิ้มอีกครั้งเมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้
เรากำลังจะไปทะเล
ไปแบบไม่มีแผน ไม่มีการเตรียมตัว ไปแบบไม่มีอะไรเลยจริงๆ
ซงมินโฮยังคงขับรถไปด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไปอยู่เมืองนอกมาแต่คงไม่ถึงกับขนาดลืมทางหรอก ในเมื่อทะเลอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก และเมื่อสมัยที่ผมเรียนมหาลัยทั้งผมและเขาเคยไปทำกิจกรรมทางชมรมด้วยกัน
จู่ๆก็รู้สึกอยากไปอีกครั้ง
ความเอาแต่ใจของผมนี่มันไม่ดีเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ
“เอา รับไปสิ”มินโฮส่งกาแฟร้อนให้ก่อนจะนั่งลงตรงข้าง เรามาถึงที่หมายในช่วงใกล้ค่ำ
ให้กินกาแฟตอนดึกเนี่ยนะ?
“แปลกคนจริง” ผมรับมาอย่างไม่ทุกร้อนก่อนที่จะจิบมันเบาๆ ความอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย ก่อนที่มินโฮผละออกไปรับกุญแจห้องพัก(ที่อีกฝ่ายออกเงินให้)และกวักมือเรียกผม ผมวางกาแฟนั่นลงก่อนเดินไปหาอีกฝ่าย
“มันเหลือห้องเดียว...”
“ก็เอาห้องเดียวหล่ะ”
“แต่พี่..”
“ก็บอกห้องเดียวกันไง เป็นไรหล่ะ แค่นอนคืนสองคืน เช่าหลายห้องมันเปลือง”ผมตอบอย่างไม่หยี่ระก่อนจะคว้ากุญแจ”ฉันไปรอที่ห้องนะ”พูดจบก่อนจะคว้าเสื้อผ้า(ที่แวะซื้อ)ของผมกับมินโฮถือไป
หลังจากที่จัดการธุระต่างๆเสร็จ ผมก็เดินออกมานั่งชมวิวที่ระเบียงห้องพัก อากาศเย็นสบายทำให้ผมรู้สึกดี เนื่องจากห้องพักที่เช่าค่อนข้างเป็นส่วนตัวเหมืองบังกะโลเลยทำให้ผมไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่เป็นส่วนตัวไปเลย
ชักไม่อยากอยู่แค่สองวันแล้วสิ
ผมหยิบบุหรี่ขึ้นคาบไว้ ความจริงผมไม่ค่อยสูบหรอกเพราะว่าผมเหม็น แต่บางครั้งการได้นิโคตินเข้าร่างกายก็ทำให้สมองโล่งดีเหมือนกัน
จุดก่อนพ่นควันออกมา ลมพัดปลิวจางหายไปอย่างรวดเร็ว ผมถอนหายใจก่อนเอาแขนพาดกับราวไม้
อากาศเย็นๆแบบนี้ทำให้ผมอยากมากกว่านิโคติน
ผมต้องการแอลกอฮอล์ด้วย
ผมสูบอีกสองอึกใหญ่ๆก่อนจะขยี้กับกระถางต้นไม้
ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากลำคอเมื่อครู่เริ่มจางหายไปแล้ว ก่อนที่สมองจะนึกถึงคนที่ทิ้งไป
คิมจีวอน....
“...เอ้า” กระป๋องเบียร์ถูกส่งให้ผม ความเย็นสัมผัสที่ไหล่จนสะดุ้ง ผมหันไปทางมินโฮที่ยืนกระดกอยู่ข้างๆ
ถ้าผมไม่เจอมินโฮ ป่านนี้ผมอาจจะฟูมฟายกว่านี้ก็ได้
รับมาเงียบๆก่อนจะกระดกเพียงนิดหน่อย เพราะผมรู้ตัวดีว่าคอไม่ได้แข็งอะไรมากมาย
“พี่คิดอะไรอยู่”
“คิดถึงจีวอน”ผมตอบกลับไปตรงๆ
“พี่นี่แปลกนะ”
“ฉันแปลกยังไง”กระดกอีกครั้งก่อนหันไปมองซงมินโฮ อีกคนแค่ยืนนิ่งๆ ไม่ได้หันมามอง ไม่ได้ตอบคำถาม ดวงตาคมมองท้องฟ้า วันนี้ช่างโชคดีที่เมฆไม่ปกคลุมทำให้เห็นดาวต่างๆได้ชัดเจน
ผมมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าอย่างไงเพราะแสงจากในห้องไม่ได้สว่างมากพอจะสะท้อนให้เห็น แถมระเบียงผมก็ไม่ได้เปิดไฟจึงไม่แปลกที่ทุกอย่างจะดูสลัวไปหมด
ความอบอุ่นจากนิโคตินเริ่มจางหายกลายเป็นแอลกอฮอล์ที่ทำให้คอร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปหมด ผมถอดเสื้อออกเพราะเริ่มร้อนก่อนเอาพาดไหล่ ไม่ไหว ผมเมาแล้วแน่ๆ
คิดได้ดังนั้นผมเลยลุกขึ้น เซนิดหน่อยจนคนข้างๆต้องรั้งแขนไว้
“พี่จะไปไหน”
“นอนไง” ผมปัดแขนคนตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในตัวห้อง ทิ้งตัวลงบนที่นอนในแนวขวางก่อนจะกางแขนขากว้าง รับรู้ถึงพื้นที่ข้างๆที่ยุบตัวลง ผมตะแคงหน้ามองอีกคนที่มองมาก่อนหน้านี้เช่นกัน
แอลกอฮอล์ทำให้ผมยับยั้งสติไม่ได้
“เพราะนายทิ้งฉันไป เพราะนายคนเดียว....”
“....”
“ไอ้หมีดำซงมินโฮ ไอ้บ้า”
“....”
“คิดถึงนายนะ”ปิดตาลงก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
อา...
เหมือนความรู้สึกเดิมๆกลับมาอีกแล้ว
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนๆ แสงแดดที่ส่องมาทางหน้าต่างบ่งบอกว่าผมคงตื่นสาย ไม่สิ ตื่นเที่ยงเลยหล่ะ สะบัดผ้าห่มก่อนนั่งสะลึมสะลือเล็กน้อย หาวออกมาโดยที่ไม่ยกมือปิดปากก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้น ผมหันไปมองก่อนจะเห็นว่าเป็นซงมินโฮที่ยืนหัวเราะพิงประตู
เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ย่าห์ นี่นายขำฉันหรอห๊ะ”
“เปล่า พี่เหมือนแมวเลยอ่ะ ลืมตาพูดกับผมสิ”เดินเข้ามาก่อนจะใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างดันหางตาผมแล้วหัวเราะ “เหมือนสิงโตมากกว่า ดุไม่พอแถมผมฟูอีกต่างหาก”
ใครใช้ให้มายืนใกล้ขนาดนี้เนี่ย
ผมตีมือคนตรงหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ ใจเจ้ากรรมสั่นเหมือนผีบ้าเข้าสิง
ซงมินโฮยังคงคอนเสปเสื้อกล้ามย้วยเช่นเคย ทำไมจู่ๆหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
รู้สึกเหมือนโดนอ่อยชอบกล แต่ผมคิดว่าผมคงคิดไปเอง...คิดว่านะ
ผมอ้าปากค้างเมื่ออีกคนถอดเสื้อต่อหน้าต่อตา
“ถ..ถะ ถอดทำไม”
“เจ๊ากันไง พี่เห็นของผมแล้วนะ”ส่งยิ้มโชว์ฟันขาวตัดกับสีผิวก่อนเดินผิวปากเลือกเสื้อผ้าไป
เจ๊าหรอ...
เดี๋ยวนะ
อย่าบอกนะว่าเมื่อคืน...
“ย่าห์ เมื่อคืนฉันแก้ผ้าหรอ!!!!!”
หลังจากชุลมุนทั้งมือและเท้าเมื่อวานนั้น เวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกินจนผมยังรู้สึกตกใจ
ผมรู้สึกเหมือนวันเวลาที่เหมือนเมื่อคราวก่อนมันหวนกลับมา รวมทั้งความรู้สึกต่างๆก็ถูกรื้อฟื้นมาเช่นกัน ผมสามารถทำอะไรก็ได้ จะงอแงงี่เง่าเท่าไรก็ได้ ซงมินโฮดูแลผมดีจนผมเองแทบไม่ต้องทำอะไร ทุกสิ่งต่างเข้ามาเหมือนคนรู้ใจที่คุ้นเคย
“พี่เก็บของหมดหรือยัง”
“นายนั่นแหละ เก็บหมดหรือยัง ฉันไม่มีอะไรมาอยู่แล้วนี่”
ซงมินโฮหิ้วของใส่ท้ายรถก่อนจะเดินกลับไปที่ล็อบบี้เพื่อจัดการเช็คเอ้าท์ ผมที่ขี้เกียจจึงรออยู่ที่รถ แลปทอปถูกสไลด์ไปเรื่อยๆเพื่อเช็คข้อมูลที่ทางสำนักพิมพ์ติดต่อมาทางอีเมล์ ยกยิ้มพอใจเมื่อรับรู้ว่าทางสำนักพิมพ์ส่งรูปเล่มตัวอย่างไปที่บ้านเรียบร้อยแล้ว
ออกจากโปรแกรมอีเมล์ก่อนจะเปิดโทรศัพท์แทน เข้าโปรแกรมอินสตาแกรมก่อนเช็คดูว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง สะดุดกับแจ้งเตือนที่ค่อนข้างเยอะก่อนจะกดเข้าไปดู
มันคือรูปผมที่ยืนอยู่ในทะเลด้านหลัง กับซงมินโฮที่นั่งถ่ายเพียงแค่ครึ่งหน้า....
นี่ไอ้หมีดำมันแอบเล่นโทรศัพท์ผมตอนไหนกัน
กดเข้าไปอ่านแคปชั่นก่อนจะสะดุดกับข้อความเรียบง่าย แต่เรียกความรู้สึกบางอย่างให้ตีตื้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย
"Don't rely on
the past to create the future, rely on the future to erase the past."
[อย่าวางใจใช้อดีตเป็นตัวสร้างอนาคต แต่ให้ใช้อนาคตเป็นตัวลบอดีตนั้น]“หึ
เป็นแค่ไอ้หมีดำแท้ๆ”
ผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ก่อนจะรีบเก็บอาการเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมา
ซงมินโฮพาผมกลับมาที่บ้านด้วยความปลอดภัย
ตลอดทางผมพยายามไม่หลับเพราะจะได้ชวนคุยกันไปเรื่อย ซึ่งส่วนมากกลายเป็นอีกฝ่ายต่างหากที่กวนผม
“เวลาผ่านไปเร็วจัง
“เร็วตรงไหนหล่ะ”
“แปปเดียวถึงบ้านพี่ละ”
มันส่งสายตากรุ้มกริ่มมาที่ผม
ตั้งแต่สารภาพกับผมว่าชอบวันนั้นมันเปิดเผยน่าดู ผมเผลอใจเต้นแปลกๆก่อนจะรีบเปิดประตูรถออกก่อนจะค้างนิ่ง
“นาย....”
ซงมินโฮเดินวนไปวนมาในครัวบ้านผม
หน้าตาไร้อารมณ์อย่างแรงจนผมขนลุกเบาๆ
ผมละสายตาออกมาก่อนจะหันมามองคิมจีวอนที่นั่งตรงข้าม
“นายมาทำไม”ผมถามก่อนจะมองหน้านิ่งๆ
ทั้งๆที่เป็นฝ่ายบอกเลิกผม
ทำให้ผมร้องไห้แทบเป็นบ้า
ทำไมจู่ๆเขากลับมาหล่ะ
“มันเป็นใคร”
จีวอนมองเลยผมไปที่ห้องครัว สายตาไม่พอใจสาดมาที่ผมอย่างไม่ปกปิด
“มันไม่ใช่ประเด็น...”
“ผมถามว่าใครไง!!!”จีวอนบีบแขนผมจนต้องร้องโอ้ยออกมา มองท่าทีเหล่านั้นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
อะไรกัน
“ปล่อยพี่นะจีวอน”
“ไม่”
“คิมจีวอน....”
ตุ้บ
จู่ๆซงมินโฮก็เดินมาก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบจีวอนอย่างแรง ผมอ้าปากค้างก่อนที่ใบหน้าจะไปซุกที่อกมินโฮ
เสียงทุ้มและอ้อมกอดอุ่น
“กูเป็นใครไม่สำคัญหรอก...แต่มึงไม่มีสิทธิทำแบบนี้กับพี่ซึงฮุนของกู
มึงจำไว้”
อ่า
ไอ้หมีบ้าเอ้ย....
จีวอนทำเสียงปึกปักกับคำพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยิน
ซงมินโฮกอดผมเนิ่นนาน ผมได้ยินเสียงใจเต้นแรงของซงมินโฮในอ้อมกอดอุ่นๆนี้
เหมือนเดิม
เหมือนกับเมื่อสมัยก่อนทุกอย่างจริงๆ
ผมยกแขนขึ้นกระชับกับอีกฝ่าย
ซงมินโฮสะดุ้งเล็กน้อยเพราะผมไม่เคยกอดตอบสักครั้ง
ความเงียบปกคลุมระหว่างเรา
และนั่นดูเหมือนจะเป็นคำตอบสำหรับทุกสิ่งที่ทำให้มินโฮกลับมา
“พี่ซึงฮุน...พี่เป็นแฟนกับผมนะ”
“...”
“ผมสัญญาว่าจะไม่หนีพี่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
“...”
“...”
“ฉันขี้เหวี่ยงนะ”
“...”
“ขี้โมโห เอาแต่ใจ
แล้วก็แสดงอะไรหวานๆไม่เป็นด้วย”
“ผมรู้”
“...”
“ไม่ว่าเป็นไงผมก็ชอบพี่อยู่ดี”
ผมก้มหน้าหงุดและยกยิ้มเบาๆก่อนจะจับมือของซงมินโฮให้วางไว้ที่อก
ซงมินโฮละตัวออกเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆและยกมือของผมมาทาบอกเช่นกัน
ปล่อยให้อัตราการเต้นของหัวใจบอกความหมายของความรู้สึกกันและกัน
จากวันนั้น
และต่อจากวันนี้เป็นต้นไป...
#Frommetoyouproj
>>> BABYHOONIE ค่ะ สำหรับ From me to you project หวังว่าทุกคนคงมีความสุขกับโปรเจกค์นี้ทุกคนนะคะ
THAX TIME
@dancingrapper
สำหรับโปรเจกค์น่ารักๆ
@Fan_FN
ผู้ส่งจดหมายน่ารักๆมาถึงเรา
และที่สำคัญที่สุดคือ มินฮุนชิปเปอร์ทุกคนนะคะ
ขอบคุณค่ะ
Because you are my inspirations
>>> BABYHOONIE ค่ะ สำหรับ From me to you project หวังว่าทุกคนคงมีความสุขกับโปรเจกค์นี้ทุกคนนะคะ
THAX TIME
@dancingrapper
สำหรับโปรเจกค์น่ารักๆ
@Fan_FN
ผู้ส่งจดหมายน่ารักๆมาถึงเรา
และที่สำคัญที่สุดคือ มินฮุนชิปเปอร์ทุกคนนะคะ
ขอบคุณค่ะ
Because you are my inspirations