BABYHOONIE

BABYHOONIE
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ MinHoon Rapline แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ MinHoon Rapline แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

[ficlet] Lee Seunghoon X Song Minho : Lost





Lee Seunghoon X Song Minho

Story : Lost






ซึงฮุนเดินมาตามถนนที่ทอดยาว อากาศเย็นสบายในช่วงใกล้พลบค่ำทำให้รู้สึกเหงาที่หัวใจแปลกๆ

ความรู้สึกปั่นป่วนนั้นรบกวนมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว ซึงฮุนกระชับสายสะพายกระเป๋าแน่นมากขึ้น

ช่วงเวลาต่อจากนี้อีกหนึ่งอาทิตย์เขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่

ซึงฮุนวางแผนที่จะใช้วันหยุดในช่วงหน้าหนาวตลอดหนึ่งสัปดาห์กับคนรัก...น่าเสียดายนิดหน่อยที่มันกลับเป็นไปไม่ได้เสียแล้วเมื่อเขาถูกบอกเลิกเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่าเขาบ้างานมากเกินไปและมันน่าเบื่อที่เจ้าตัวจะต้องมาตามถึงที่ทำงานเกือบทุกครั้งและละเลยนัดที่เขากับเจ้าตัวนัดกันบ่อยๆ

โอเค

มันอาจจะดูงี่เง่าไปหน่อย แต่ทั้งหมดนั่นมันก็เพื่ออนาคตของเขากับเจ้าตัวทั้งนั้น

ซึงฮุนพรูลมหายใจออกมา ทริปคู่รักกลับกลายเป็นทริปฉายเดี่ยวประสาคนโสดไปอย่างช่วยไม่ได้

ก่อนที่ร่างสูงจะเดินขึ้นรถไฟ จุดมุ่งหมายคือในเขตนอกเมืองที่แสนสวยงาม และการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาเกือบสองวันบนรถไฟ แน่นอนว่าซึงฮุนจองห้องนอนบนรถไฟไว้ เขาเหลือบสายตาขึ้นด้านบนเล็กน้อย มองเพื่อให้มั่นใจว่าตนเองนั้นไม่ได้จำผิดโบกี้และจะไม่หลงทางหากต้องไปคนเดียว

เขาไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนนานมากโข จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ไปไหนไกลๆก็คืองานสัมมนาของทางบริษัทที่ต้องค้างสามวันสองคืนแค่นั้นเอง

ซึงฮุนส่งตั๋วให้พนักงานรถไฟ รอยยิ้มแย้มของพนักงานดูจะขัดกับอารมณ์ของเขาไปหน่อย ก่อนที่จะได้รับเป็นการผายมือเมื่อมาถึงห้องพักดังกล่าว พนักงานคนนั้นชี้แจงเกี่ยวกับการใช้ที่พักและความสะดวกสบายอื่นๆอีกเล็กน้อยก่อนจะทิ้งทวนด้วยการบอกว่ามีอะไรสามารถกดกริ่งเรียกพนักงานได้ในทันที ซึงฮุนเอ่ยขอบคุณเสียงเบาก่อนจะเปิดประตูห้องพักเข้าไป ทัศนียภาพนอกหน้าต่างเป็นชานชลารถไฟที่ยังไม่เคลื่อนที่ เหลือเพียงอีกสิบนาทีกว่ารถไฟจะออก

ซึงฮุนวางกระเป่าลงที่เตียงข้างๆ นอนที่เตียงอีกผืน ทั้งที่ความจริงมันควรจะเป็นของอีกคนที่วางแผนเที่ยวด้วยกัน แต่ก็นะ...ซึงฮุนจะพยายามไม่คิดถึงมันให้เปลืองความรู้สึกหรือเสียเวลาอะไรทั้งนั้น

เลิกได้ก็ลืมได้

ซึงฮุนถือคติแบบนี้เสมอ

จะเรียกว่าเป็นโชคดีของซึงฮุนหรืออะไรก็ไม่รู้ เขาอาจจะบ้างานมากไปหน่อยก็ได้ ซึงฮุนหยิบโน้ตบุ้คออกมา เสียบมันเข้ากับปลั๊กไฟและเปิดหน้าจองานขึ้น เป็นเรื่องดีที่เขาพกมันมาเพราะคิดว่าอาจจะได้ทำเล็กน้อย

ไม่ใช่เลย เขาได้ทำมันแน่ๆตลอดระยะเวลาที่อยู่บนรถไฟนี้

ซึงฮุนพิมพ์งานก่อนจะจมเข้าไปในห้วงความคิด พนักงานระดับต้นๆโปรไฟล์ค่อนข้างดีแบบเขาไม่แปลกที่ในหัวจะมีแบบแผนมากมาย ก่อนจะได้ยินเสียงตะกุตะกักมาจากห้องข้างๆ มันดังมากจนผิดปกติเกินไปตั้งแต่ซึงฮุนขึ้นมาบนรถไฟ จากที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน สักพักซึงฮุนก็ทนไม่ไหว

“ใครวะ...”

ซึงฮุนเอ่ยออกมาเสียงเบา ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง เดินไปที่ห้องนอนข้างๆก่อนจะเคาะประตูเสียสองสามครั้งเพราะทนเสียงน่ารำคาญไม่ไหว

ไม่ใช่ว่าห้องมันไม่เก็บเสียงนะ แต่นี่มันดังผิดปกติเกินไป

“คุณ คุณ”

ซึงฮุนพูดออกมาก่อนที่เสียงข้างในจะเงียบไปชั่วครู่ ยืนรอด้วยความใจเย็นก่อนจะพบว่าไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะเดินออมาเปิดประตู

ซึงฮุนยักไหล่ก่อนจะตัดสินใจที่จะหมุนตัวเพื่อเดินกลับห้อง ก่อนเสียงประตูจะเปิดดังขึ้น

“ผมขอโทษทีที่เสียง---ซึงฮุน?”

ซึงฮุนเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่มาเปิดประตูคือใคร

“มินโฮ...”

ให้ตายเหอะ

นี่เขามีทริปเที่ยวฉายเดี่ยวเพราะเพิ่งเลิกกับแฟนคนล่าสุดยังไม่พอ เขายังมาเจอกับแฟนเก่าของเขาอีกหรือ

โลกนี้มันตลกเกินไปแล้ว







หนึ่งเรื่องที่ซึงฮุนรู้สึกตลกไม่ออกคือการได้พบกับอีกฝ่าย

ซึงฮุนและมินโฮต่างชะงักค้างเสียทั้งคู่ เสียงรถไฟที่ออกจากชานชลายังดังผ่านเข้ามาในโสตประสาท สุดท้ายมินโฮก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมา...รอยยิ้มของอีกฝ่ายดูเศร้าหมองกว่าแต่ก่อน

“มะ...ไม่คิดว่าจะได้เจอกันแบบ---“

“หายไปไหนมา?”

ซึงฮุนเอ่ยออกมาก่อนที่มินโฮจะพูดจบ รอยยิ้มเมื่อครู่ของมินโฮที่พยายามยิ้มนั้นหุบลง ก่อนเจ้าตัวจะถอยหลังและทำท่ากลับเข้าไปในห้อง ซึงฮุนรั้งแขนอีกฝ่ายไว้ก่อนจะกำมันแน่น

“อย่าหนีพี่นะ”

เอ่ยออกมาเสียงขุ่นก่อนจะเป็นมินโฮที่หันกลับมามอง อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเสียงค่อย

“ผมไม่ได้หนีพี่...”

“นายไม่ตอบคำถามพี่ แล้วนี่มากับใคร? แล้ว---“

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ ทำไมถามผมแบบนั้น?”

เอ่ยตัดประโยคเสียงเรียบก่อนซึงฮุนจะรู้สึกตัว ซึงฮุนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาทั้งน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

“พี่ไม่เคยพูดสักคำว่าเราเลิกกัน มินโฮ มีแต่นายที่หนีพี่ไป”

ใช่

ซึงฮุนยังจำได้ดี ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณเกือบสองปีทีแล้ว วันที่ซึงฮุนตื่นขึ้นมาและพบว่าคนที่เขาคิดจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตนั้นหายไป

ก่อนหน้านี้ซึงฮุนกับมินโฮนั้นเป็นเพื่อนข้างห้องกัน ซึงฮุนที่ทำงานอยู่บริษัทใกล้ๆกับคอนโดและมินโฮนักศึกษาปีสุดท้าย ความสัมพันธ์ที่ดูจะเรียบง่ายจากการที่ซึงฮุนย้ายคอนโดมาใหม่ๆ และเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนข้างห้องคนนี้

จากความรู้สึกถูกชะตา นำไปสู่ความรู้สึกถูกใจ

ซึงฮุนยอมรับว่าตนเองนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างเฟรนด์ลี่มาก แต่กับมินโฮมันไม่ใช่ความรู้สึกที่อยากจะคุยด้วยเฉยๆ ทั้งที่อีกฝ่ายงานก็ยุ่งมากแต่ยังปลีกเวลามาพูดคุยหรือไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ

จนกระทั่งซึงฮุนเอ่ยปากขออีกฝ่ายคบด้วย

ถึงมินโฮจะตกใจไปบ้างแต่ซึงฮุนยังคงจำได้ดีเสมอยามที่มือนั้นกระชับเป็นสัญญาณตอบรับว่าตกลง

“มันไม่สำคัญหรอกว่าผมหายไปไหนมา...ในเมื่อสุดท้ายผมที่ไม่ได้เอ่ยลาพี่สักคำ แล้วกลับมาพบว่าพี่พาคนอื่นเข้าห้อง?”

เป็นซึงฮุนที่พูดไม่ออกแทน

เป็นความจริงที่มินโฮพูดออกมาแบบนั้น ในช่วงเช้าหลังจากที่มินโฮหายไปได้เกือบสามเดือน ซึงฮุนตื่นขึ้นในตอนเช้าด้วยเสียงเปิดประตูค้าง เป็นมินโฮที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง

...และซึงฮุนที่นอนเปลือยเปล่าร่วมเตียงกับแฟนเก่าคนล่าสุด


อีกฝ่ายหายไปอีกครั้ง...ซึงฮุนได้แต่นึกโทษความงี่เง่าของตนเองที่ไม่ยอมตามอีกฝ่ายไป มินโฮหายไปจากชีวิตของซึงฮุนอีกครั้ง หายไปแบบไร้สัญญาณเตือน หายไปแบบที่ซึงฮุนเองก็จนปัญญาที่จะตามหา

ไม่คิดว่านี่จะเป็นอีกครั้งที่เขาได้พบกับมินโฮแบบนี้




หลังจากเสียงประตูปิดลง ซึงฮุนที่รู้สึกตัวกลับทำอะไรไม่ได้ เมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นไม่มีอะไรที่ปฏิเสธได้

เขาไม่มีสิทธิอะไรเลยด้วยซ้ำ

ซึงฮุนเดินกลับมาที่ห้องพักของเขา ก่อนจะล้มตัวลงนอน

เขาคิดว่าการมาเที่ยวครั้งนี้จะทำให้เขาได้หยุดคิดเรื่องเกี่ยวกับแฟนเก่าคนที่เพิ่งบอกเลิกไป

ใช่ เขาเลิกคิดถึงจริงๆนั่นแหละ

เพราะสิ่งที่ทำให้เขาคิดมากกว่ากลับเป็นบุคคลห้องข้างกันนี้แทน

“มินโฮ...”

ซึงฮุนพึมพำเสียงเบาก่อนจะปล่อยตนเองให้จมอยู่กับความคิดเดิมๆวนไปตลอดค่ำคืน





เสียงรถไฟยังคนแล่นตลอดเวลา หลังจากที่ซึงฮุนนั้นเดินไปอาบน้ำ ทางที่เดินผ่านนั้นจะต้องผ่านห้องของมินโฮเสมอ และนั่นทำให้ซึงฮุนอดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามองที่ห้องนั้นเสียทุกครั้ง

อีกฝ่ายจะทำอะไรอยู่?

อีกฝ่ายจะกินข้าวหรือยัง?

อีกฝ่ายจะนอนหลับได้ไหมในที่แปลกแบบนี้?

สุดท้ายซึงฮุนก็ตัดสินใจเด้งตัวขึ้นมา เดินออกจากบริเวณห้อง แสงไฟตามทางระเบียงนั้นมีเพียงแสงสลัวๆ อาจจะเพราะว่าช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงแห่งการท่องเที่ยวด้วยจึงทำให้คนที่มาโบกี้พิเศษนี้น้อยเหลือเกิน ซึงฮุนยืนที่หน้าห้องของมินโฮซึ่งอยู่ข้างๆกัน ยืนพิงกับผนังอีกฝั่งก่อนจะมอง...ซึงฮุนแค่มองทางด้านหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ

เหมือนความรู้สึกเก่าๆสมัยตอนก่อนจะคบกันนั้นวนกลับมาอีกครั้ง

ทั้งที่เราต่างห่างหายไปเกือบสองปีแล้ว แต่กลายเป็นว่าแค่เจอกันไม่ถึงชั่วโมง กลับคิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาเสียได้

แฟนเก่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าแปลกประหลาดจริงๆ



ซึงฮุนตัดสินใจเดินออกจากบริเวณนั้น ร่างสูงเดินมาอีกโบกี้รถไฟที่เป็นโซนพักผ่อน เลือกที่จะเข้าไปในห้องเล็กๆห้องหนึ่งซึ่งจัดไว้ให้สำหรับสูบบุหรี่ ปกติซึงฮุนไม่ใช่คนที่สูบบุหรี่จัดนัก เขาไม่ได้สุบมาพักใหญ่แล้วเพราะมัวแต่วุ่นกับการทำงาน....เอาตามตรงคือเขาเพิ่งมาเริ่มสูบหลังจากที่มินโฮหายไปและห่างหายจากมันเพราะว่าหมกมุ่นกับการทำงานจนไม่ได้แตะเสียมากกว่า

ซึงฮุนพ่นควันออกมา ความหม่นของมันและรสฉุนนั้นเฝื่อนที่ลำคอเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่พกมันมาก่อนจะต้องชะงักนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าแผ่นหลังที่คุ้นตาเป็นใคร เนื่องจากว่าด้านในนั้นเป็นกระจกที่สามารถมองเห็นด้านนอกได้ด้านเดียว และนั้นทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็นซึงฮุน

มินโฮนั่งที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามกัน ในมืออีกฝ่ายมีน้ำอัดลมที่เพิ่งกดจากตู้ข้างๆที่อีกฝ่ายนั่ง ซึงฮุนเดินเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้นก่อนจะยกมือขึ้นทาบกระจก ความเย็นของแผ่นใสที่กั้นไว้ทำให้รับรู้ว่าภาพที่มองตรงหน้าเกิดจากสถานการณ์จริงไม่ได้คิดไปเอง

“พี่คิดถึงนาย...ทำไมยังกินน้ำอัดลมแบบนั้นอยู่นะ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกระเพาะอาหารไม่ค่อยดี”

เอ่ยตำหนิทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน เขาเอ่ยออกมาแค่นั้น...สายตาของซึงฮุนนั้นมองที่มินโฮไม่หลบไปไหน ก่อนจะต้องสะดุดลมหายใจเล้กน้อยยามที่เห็นอีกฝ่ายหยิบบุหรี่ขึ้นมายบ้าง ปกติมินโฮไม่ใช่คนสุบบุหรี่เลย ดุท่าว่าช่วงเวลาที่ห่างหายกันไปจะทำให้อะไรๆนั้นเปลี่ยนไปมาก

เขาเปลี่ยนไป

มินโฮเปลี่ยนไป

แต่ความรู้สึกรักของซึงฮุนยังมีให้มินโฮอยู่เหมือนเดิม นั่นเป็นสิ่งที่ซึงฮุนรู้ตัวเองเสมอ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดจากการกระทำที่ต้องรับผิดชอบ แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้น และซึงฮุนก็รู้ตัวดีต่อให้ร่างกายของเขานั้นร้างราจากมินโฮมากแค่ไหน แต่สุดท้ายคนที่ทำให้เขารู้สึกได้ดีที่สุดก็คือมินโฮอยู่ดี

แล้วมินโฮหล่ะ...?

เผลอสะดุดลมหายใจเมื่ออีกฝ่ายเดินถือซองบุหรี่มาทางที่เขาอยู่ ซึงฮุนเผลอถอยหลังจนพิงกับผนังตรงข้าม มือของอีกฝ่ายเลื่อนบานประตูออก่อนจะชะงัก เพราะพื้นที่ที่คับแคบ ทำให้มินโฮเห็นซึงฮุน อีกฝ่ายทำท่าหมุนตัวกลับแต่ซึงฮุนรั้งไว้อีกครั้ง

ซึงฮุนจะไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไป

เขาตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายกลับไปแล้ว

“พี่ ปล่อ—“

มินโฮสะดุดคำพูดทั้งหมดเมื่อซึงฮุนกระชากเสียเต็มแรงจนมินโฮชนกับกระจก ซึงฮุนแสดงสีหน้าที่อ่านยาก มือกดที่ไหล่อีกฝ่ายให้นั่งลงก่อนจะเลื่อนบานประตูปิดลง มินโฮถูกกักกันให้อยู่กับซึงฮุนเพียงลำพัง แสงไฟที่ส่องมาไม่ช่วยให้มองเห็นอะไรชัดเจนนัก แต่มินโฮกลับเบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิดเมื่อสัมผัสบางอย่างนั้นทำให้ต้องตกใจ

ซึงฮุนแนบริมฝีปากลงที่อวัยวะเดียวกัน

ด้วยความสัตย์จริง ซึงฮุนคิดถึงมินโฮมากเหลือเกิน

รสขมเปร่าของบุหรี่ที่บังเอิญเหมือนกันกับที่มินโฮใช้ไม่ได้แตกต่างจากที่มินโฮสูบมันเอง แต่ครั้งนี้ออกจะเจือจาง...และเปียกชื้นเล็กน้อย

หัวใจของซึงฮุนเต้นเร่าเมื่อริมฝีปากหยักเผยอเล็กน้อยทั้งเอียงใบหน้า เปิดโอกาสให้เรียวลิ้นได้ทักทายกันอย่างคุ้นเคย

เสียงแลกน้ำลายดังขึ้นอย่างน่าอาย ซึงฮุนรั้งที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายให้เงยมากขึ้น ฉกชิงความเปียกชื้นมากยิ่งขึ้น และแนบความนุ่มหยุ่นมากขึ้นเช่นกัน

“พี่คิดถึงนายเหลือเกินมินโฮ”

ซึงฮุนผละออกก่อนเอ่ยออกมาทั้งเสียงแหบพร่า

โหยหา

เขาโหยหามินโฮที่สุด

ก่อนจะแนบริมฝีปากอีกครั้ง ซึงฮุนไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายได้หายใจเต็มที่เท่าไรนัก ความร้อนและความหิวกระหายในตัวอีกฝ่ายนั้นมากมายเกินกว่าจะเอ่ยออกมาเพื่อประวิงเวลา

ก่อนที่จะรู้สึกตัว

มินโฮผละออกจากอีกฝ่ายทั้งนัยน์ตาฉ่ำเยิ้ม ก่อนริมฝีปากหยักที่เจ่อขึ้นจากการบดจูบจะเอ่ยออกมา

“สมใจพี่แล้วใช่ไหมพี่ซึงฮุน”

“...พี่”

“ผมจะคิดเสียว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น และมันจะเป็นครั้งสุดท้าย”

มินโฮลุกพรวดก่อนซึงฮุนจะโดยผลักให้ผละออกจากร่างกาย มินโฮจับบานประตูแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาทั้งที่ไม่หันกลับมามอง

“บางที...เราก็ไม่น่าได้เจอกันอีกครั้งเลย”


ซึงฮุนทรุดลงนั่งกับพื้น เขาจำไม่ได้ว่านั่งแบบนั้นนานแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมมินโฮถึงคิดแบบนั้น และไม่เข้าใจว่าทำไมใบหน้าของตนเองถึงเปรอะคราบน้ำตา

ความรู้สึกรักมันทรมานขนาดนี้เชียวหรือ

ซึงฮุนไม่อยากเข้าใจมันเลย

เขาไม่อยากยอมรับมันเลยสักนิดว่าเขาเสียใจกับการกระทำของมินโฮ แต่เขาไม่เสียใจที่ทำเมื่อครู่กับอีกฝ่าย

“มินโฮ...”

ซึงฮุนได้แต่เอ่ยออกมาแค่นั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา

เขาต้องพยายามแบบไหนกันนะถึงจะทำให้อีกฝ่ายกลับมารักกับเขา






ซึงฮุนลืมตาตื่นเมื่อพบว่ารถไฟจอดตัวลง เสียงวุ่นวายจากข้างนอกดังเอะอะโวยวายจนผิดวิสัย เมื่อคืนเขานอนหลับเสียสนิทหลังจากกลับมาจากที่เมื่อคืน ก่อนจะเปิดประตูออกไป พบว่ามีบุคคลหลายคนมุงอยู่ที่ห้องข้างๆเขา

มันเป็นห้องที่มินโฮใช้พัก

ซึงฮุนรู้สึกไม่ดีมากขึ้นเมื่อเห็นสายคาดสีเหลืองกั้นบริเวณประตู

“ผมขอทางหน่อย คุณ ผมขอ---“

ซึงฮุนเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเขาได้เห็นความจริงที่แสนโหดร้ายตรงหน้าหลังจากแหวกผู้คนที่ยืนอยู่มากมาย

“มินโฮ...”

เบิกตาค้างเมื่อเห็นว่ามินโฮที่ควรจะหลับใหลตามที่ควรจะเป็นนั้นตอนนี้หลับตานิ่งสงบ...แต่ต่างจากเดิมนิดหน่อยตรงที่คราบแดงนั้นเปรอะที่นอนเป็นวงกว้าง รวมทั้งร่องรอยบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดซึงฮุนเห็นมันก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะผูกผ้าปิดลง

มินโฮตายไปแล้ว...

ซึงฮุนรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป

“มินโฮ มินโฮ...ปล่อย คุณตำรวจ ปล่อยผมสิวะ!!!

ซึงฮุนเอ่ยออกมาทั้งไร้สติ เขากรีดร้องอย่างบ้าคลั่งไม่รับรู้คำพูดอะไรนอกเหนือจากที่ได้ยินประโยคสุดท้าย

มินโฮถูกฆ่าชิงทรัพย์บนรถไฟ สันนิษฐานเวลาว่าก่อนรถไฟออกจากชานชลา คาดว่าคนร้ายน่าจะหนีออกไปตั้งแต่ก่อนที่จะเดินทาง

เสียงที่ดังขึ้นก่อนที่เขาจะนอนเมื่อคืน...และเสียงเคาะต่างๆที่ได้ยินนั้นคือเสียงขอความช่วยเหลือจากมินโฮ...




ร่างสูงเดินเพียงเชื่องช้าก่อนจะข่มตาลงเมื่อถึงจุดมุ่งหมายในครั้งนี้

บานประตูเหล็กสีดำเกรอะฝุ่นถูกมือสัมผัสให้เปิดออก

ซึงฮุนวางช่อดอกไม้ลงที่แท่นหินสีเทาหม่น ความรู้สึกบางอย่างตีรวนขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่คิดถึงนายเหลือเกินมินโฮ...ทำไมพี่ไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้นะ...”

ซึงฮุนเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ความเงียบปกคลุมบริเวณดังกล่าว

“พี่...พี่น่าจะตามไปขอโทษนาย พี่น่าจะบอกทุกอย่างกับนาย...พี่ พี่---“

ก้อนสะอึกจุกที่ลำคอไปหมด ความรู้สึกเสียใจถาโถมมาจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ออก

เขาคิดถึงมินโฮ เขารักมินโฮ

“พี่คงพูดมันช้าไป แต่พี่ก็อยากจะบอกนะมินโฮ”

“...”

“พี่รักนาย ไม่ว่านายจะเป็นยังไงก็ตาม พี่รักนายคนเดียว...”

ซึงฮุนเอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนจะนั่งนิ่งๆหน้าแผ่นป้ายหลุมศพช้าๆ

เขาอยากย้อนเวลากลับไปได้เหลือเกิน

เขาจะยอมแพ้ทุกอย่างเพื่อทำให้มินโฮนั้นอยู่ข้างกายเขาตลอดไป 

ไม่ใช่แบบนี้....








#ฮุนโน่

#ALLBBHN




วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

[FICLET] LEE SEUNGHOON X SONG MINHO : TRIED





[FICLET]


 LEE SEUNGHOON X SONG MINHO



STORY : TRIED


ในถนนที่เรียกว่าความหวัง


เราจะยังคงมีกันและกันเสมอ


โปรดรู้ไว้


เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพัง



-I’ll always beside you-






ทุกครั้งที่เราสบตากันเพียงเสี้ยววินาทีรอยยิ้มจะประดับบนใบหน้าเสมอ

“นี่”

“ฮะ?”

มินโฮเงยหน้าเมื่อซึงฮุนเอ่ยเรียก ในห้องซ้อมที่มีเพียงเราสองคนที่ยังจมอยู่ท่ามกลางกองกระดาษที่เต็มเปี่ยมด้วยรอยขีดเขียนจากดินสอ ทั้งประโยคและรอยขีดฆ่ามากมายบ่งบอกถึงความใส่ใจและพิถีพิถันที่จะแสดงถึงผลงานที่ใส่ใจให้ดีที่สุด รอยยิ้มบางถูกส่งต่อมาให้ภายใต้ใบหน้าที่อ่อนล้า มินโฮรับรู้ดีนั่นคืออะไร

ความยากลำบากกำลังบั่นทอนจิตใจของซึงฮุน

ยกมือกุมที่หลังมือขาวแผ่วเบา ลูบหลังมือแสดงถึงความเข้าใจ ก่อนมินโฮที่นั่งอยู่บนพื้นไม้จะดึงรั้งให้ซึงฮุนนั่งลงที่พื้นระดับเดียวกัน

“เหนื่อยหรือครับฮยองของผม”

“มาก”

น้ำเสียงบ่งบอกว่างอแงไม่น้อย มินโฮเผยรอยยิ้มจาง

เขาเองก็เหนื่อยเช่นกัน

ความอดทนและการต้องผ่านไปให้ได้ในช่วงนี้เป็นอะไรที่สูงชันพอๆกันกับหน้าผา ไม่แปลกหากจะรู้สึกกดดัน เข้าใจว่าซึงฮุนนั้นไม่มีเวลาพักเท่าที่ควร อาจจะไม่เหมือนมินโฮกับซึงยุนที่มีรายการวาไรตี้ต้องไปออก ซึงฮุนจมอยู่กับห้องซ้อมเต้นและห้องอัดเสียงยาวนานจนเกินไป หากเมเนเจอร์ฮยองไม่ไล่ให้ไปข้างนอกหรือพีดีนิมไม่ไล่กลับหอคงไม่ทำด้วยนิสัยดื้อรั้นที่มีในตัว บางครั้งที่มินโฮกลับมาแล้วยังเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าสู้แสงโคมไฟในห้องนอน

“มานี่มา”

มินโฮเอ่ยเสียงนุ่ม พอเข้าใจว่าคนรักของตัวเองนั้นอยู่ในโหมดอารมณ์ไหน แขนทั้งสองข้างกางออกเล็กน้อย ซึงฮุนมองท่าทีนั้นก่อนจะขยับเข้าใกล้มินโฮเล็กน้อย

ตอนนี้ร่างกายของซึงฮุนนั้นพาดพิงไปที่ไหล่กว้างของคนเด็กกว่า มินโฮยิ้มออกมา มือใหญ่นั้นลูบที่กลุ่มผมนิ่มของซึงฮุนแผ่วเบา

“เจ้าความเหนื่อยล้า เจ้าความกังวลใจออกไปนะ”

น้ำเสียงทุ้มมีเสน่ห์เอ่ยออกมาคล้ายกับกล่าวเล่านิทานแสนหวานก่อนนอน

ซึงฮุนยิ้ม หลุดขำเล็กน้อยก่อนจะหลับตาพริ้ม

แรงที่ลงที่กลุ่มผมนั้นทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย ซึงฮุนสบายใจขึ้นมามากโข แม้ไม่หายไปจากใจจนหมดแต่กลับสร้างความปลอดโปร่งอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้วให้เกิดขึ้น

มินโฮรับรู้ถึงแรงกดที่ไหล่ที่มีมากขึ้น ขยับเล็กน้อยด้วยความไม่ถนัด ปรายตามองซึงฮุนที่พิงไหล่จนเส้นผมปรกดวงตาตี๋ที่ทอประกายแห่งความหวังเสมอ

“ฮยองอา”

“...หืม”

“ถ้าเหนื่อย ฮยองยังมีผมนะ”

“...”

ซึงฮุนไม่ได้ตอบอะไรออกมานอกเหนือจากนั้น อีกฝ่ายเพียงแค่ผละออกก่อนจะเกยคางที่ไหล่มากขึ้น วงแขนเรียวกว่ามินโฮนั้นโอบที่ช่วงเอวสอบแผ่วเบา


ไม่ได้กอดรัดแนบแน่นแบบเฉกเช่นที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว

แต่กลับสร้างกำลังใจให้แก่กันและกันเสมอ


“ขอโทษทีที่งอแง มินโฮ”

ซึงฮุนเอ่ยออกมาแผ่วเบาน่าเอ็นดูจนมินโฮอดใจไม่ไหว ก่อนจะยกมือขึ้นนาบที่แก้มนุ่มนิ่มของซึงฮุน มินโฮเบี่ยงกายเล็กน้อยก่อนจะนาบริมฝีปากหยักที่ดวงตาทั้งสองข้าง และใช้ปลายจมูกเกลี่ยที่อวัยวะเดียวกัน

มินโฮคลอเคลียกับซึงฮุนเพียงชั่วครู่เท่านั้น

เหลือบมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าเวลาใหม่ได้ก้าวเข้ามา

“ฮยองอย่ากลัวที่จะงอแงเลย ผมเองก็มีแค่ฮยองเหมือนกัน”

“...”

“ผมอยากให้ฮยองสบายใจ เชื่อใจผมว่าเราจะอยู่ข้างกันไปเรื่อยๆแบบนี้ ”

“...”

“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ยิ้มนะครับ”

มินโฮเอ่ยก่อนที่จะลูบไหล่แผ่วเบา

หมดเวลาสำหรับการพักที่แสนสั้น ความเหมื่อยล้าที่มีเจือจางลงไปทันตา

“ขอบใจนะมินโฮ”

ซึงฮุนแค่พูดแค่นั้นก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงมาแผ่วเบาและผละออก

ซึงฮุนเริ่มจับกระดาษก่อนจะขีดเขียนมันใหม่อีกครั้ง เราทั้งคู่ต่างทำงานเงียบๆและเป็นกำลังให้กันเช่นเคย

ทั้งตอนนี้ และอนาคตระหว่างเรา














 #ALLBBHN

Talk : For sweet Valentine's day with MINHOON

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

[OS] Lee Seunghoon X Song Minho Story : I know it










[OS] Lee Seunghoon X Song Minho
Story : I know it




Yes
.
.
.
.
I know abt you and me







แสงสีขาวที่ตกกระทบที่ช่วงตาปลุกมินโฮให้ลุกขึ้นจากภวังค์ลึกล้ำยามค่ำคืนอย่างง่ายดาย ร่างกายที่เมื่อยขบทำให้ยากที่จะขยับเขยื้อนร่างกาย มินโฮกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะมองตรงไปด้านหน้า

ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา

สัมผัสนุ่มของผืนเตียงสีตุ่นและผ้านวมผืนหนานี่ก็ไม่ใช่ของเขา

แล้วที่นี่ที่ไหน?

ก่อนจะได้ลุกขึ้นกลับต้องรู้สึกแปลกใจอีกครั้งที่ช่วงเอวดูจะหนักหน่วงเป็นพิเศษ มินโฮกำลังทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสมองและประมวลมันออกมาเป็นภาพ

เมื่อคืน...จำได้ว่ามีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมหาลัย

ได้เจอแฟนเก่าที่ควงคู่กับแฟนหนุ่มของหล่อนมา และประกาศว่าอีกไม่กี่สัปดาห์จะแต่งงาน

มินโฮจำได้ดีว่าหล่อนยิ้ม...ยิ้มแบบมีความสุขชนิดที่ว่ามินโฮไม่เคยเห็นตอนสมัยที่หล่อนคบกับตัวเขาเอง

แล้วอะไรอีกนะ?

ออ...เมา

มินโฮเมาเหมือนหมา และเหมือนว่าเพื่อนจะเข้าใจจึงพากันส่งแก้วให้ชนิดที่ผสมบ้างไม่ผสมบ้างปะปนกันไป รสชาติที่ขมเปร่าของมันทำให้รู้สึกดีจนกินไม่หยุด

และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว....

ยกมือขึ้นนวดขมับก่อนที่ผ้าห่มจะร่นลงเผยแขนขาวที่ตัดกับสีผิวตัวเองอย่างชัดเจน

ประเด็นที่ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนดูจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจที่สุดอีกต่อไป

“...ใครวะ”

มินโฮลุกขึ้นแบบที่ไม่คิดสักนิด ร่างกายปวดเมื่อยช่างปะไร สิ่งที่ต้องสนใจคือแขนขาวๆนี่มันเป็นเป็นของใครมากกว่า

“เชี่ย....”

เผลอหลุดอุทานออกมาก่อนจะอ้าปากค้างน้อยๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่รู้

ที่สำคัญ ดันเป็นผู้ชาย

กวาดสายตาสำรวจอีกฝ่ายและตัวเองก่อนจะมองไปรอบๆห้อง ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนน่าจะเกิดอะไรขึ้น

แต่ใครเสีย

ตัวเองหรือว่าอีกฝ่าย

สำรวจร่างกายตัวเองก่อนจะรู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาพอสมควร ร่องรอยเต็มไปหมดทั้งเล็บและรอยห้อเลือด อาการปวดเมื่อยยิ่งชวนให้คิดแต่เมื่อได้ลองขยับขาก็ต้องโล่งใจ...

ไม่สิ นี่มันไม่น่าโล่งใจสักนิด

นอนกับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ

“เฮ้ คุณ”

เอื้อมมือไปกุมทีไหล่ก่อนจะเขย่าเบาๆ เผลอกลืนน้ำลายเพราะว่าบนร่างกายอีกฝ่ายก็เยอะพอสมควร...ไม่หรอก เยอะกว่าที่ตัวเองมีอีก

อาจจะเพราะผิวอีกฝ่ายมันขาว...ขาวชนิดที่ว่าแค่จับก็ขึ้นรอยแดงอย่างง่ายดาย อีกฝ่ายเพียงแค่ขยับแต่ยังไม่ได้พลิกใบหน้าที่จมกับหมอนขึ้นมา น้ำเสียงงัวเงียไม่น้อยทำให้มินโฮรู้สึกลำคอแห้งผาก

“อืม...ตื่นแล้ว คุณไปอาบน้ำก่อนเลย”

“ตื่นมาคุยกันก่อนสิ คุณเป็น...”

“ผมไม่มีแรง เสียงแหบหมดแล้ว”

อีกฝ่ายแค่พลิกใบหน้าด้านข้างมาก่อนที่มินโฮจะต้องรู้สึกหัวใจตกวูบไป ใบหน้าที่ขาวใสตอนนี้ดูซีดเซียวไม่น้อย ริมฝีปากที่บวมเจ่อนั่นแดงก่ำและช้ำพอสมควร ดวงตาที่ตี่เล็กจนแทบลืมไม่ขึ้นนั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดไปกันใหญ่

...ประเด็นคือนี่มันใครกันวะ

ไม่คุ้นหน้าสักนิด

มินโฮตัดสินใจไม่เซ้าซี้ไปมากกว่านี้ ก่อนจะคว้าผ้าเสื้อผ้าที่ตกระเกะระกะแถวพื้นมาไว้ในอ้อมแขน ตกใจที่ซองสีเงินที่ถูกฉีกตกเรี่ยราดอยู่บริเวณพื้น นั่นทำให้ไม่แปลกใจเท่าไรนักถ้าอีกฝ่ายจะนอนซมได้ขนาดนั้นสาวเท้าเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายเป็นเวลานานพอสมควร แอบแสบนิดหน่อยช่วงสะบักและกลางหลังจนต้องกลั้นใจถูสบู่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะสวมเสื้อผ้าชุดเดิมเดินออกมา พบว่ามันค่อนข้างยับและสภาพไม่น่าดูเท่าไร

...คนเรามันจะเมาจนถึงกับจำอะไรไม่ได้เลยหรือไงวะ

ได้แต่บ่นกับตัวเองและโทษความไม่ระมัดระวังตัวก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ พบว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งแล้วเช่นกัน มินโฮเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกประหม่าพอสมควร ก่อนจะเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหัวเตียงแทน

ความเงียบเป็นสิ่งที่โคตรจะน่าอึดอัด

มินโฮสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นอย่างชัดเจน

อีกฝ่ายยิ้มให้ทั้งที่มีผ้าปกคลุมแค่ท่อนล่างพอไม่อุจอาจตา ก่อนจะเอ่ยออกมา

“ผมชื่อซึงฮุนนะ”

“อะ..อา ชื่อมินโฮ”

เอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบกับอีกครั้ง ช่องว่างสนทนาเป็นอะไรที่น่าอึดอัดเกินทน ต้องยอมรับว่ามินโฮเองไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน บอกตามตรงว่าไปต่อไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไง จึงทำได้แค่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมา

“ไม่ต้องคิดมากนะ”

“หะ..ห๊ะ”

มินโฮงงก่อนจะสบตากับอีกฝ่ายที่แค่ส่งรอยยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ดูอันตรายและไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ

ไม่คิดมากบ้าอะไร

ไปเสียบใครก็ไม่รู้จนช้ำไปหมดแบบนี้จะไม่ให้คิดหรอ

ตลก

“คุณ...โอเคไหม?”

มินโฮถามอย่างคนที่โง่เง่า บนสนทนาปัญญาอ่อนนี่มันกลั่นกลองออกมาจากสมองได้ยังไงกัน ได้แต่คิดทบทวนซ้ำๆเพราะว่าพูดไปแล้ว ก่อนที่จะได้รับรอยยิ้มตาปิดและริมฝีปากคลี่ยิ้มสวย มันสดใสเสียจนมินโฮยิ่งรู้สึกผิดไปกันใหญ่

“ผมไม่เป็นอะไร ถ้าคุณจะกลับบ้านก็กลับได้เลยนะ ที่นี่เป็นห้องผมเอง”

“แล้ว...?”กวาดสายตาสำรวจทุกส่วนก่อนจะกลืนคำถามลงคอ

แล้วเรื่องราวเมื่อคืนหล่ะ?

อยากเอ่ยถามแต่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้อะไรสักนิด? นี่เขาควรรับผิดชอบไม่ใช่หรอแล้วทำไมดูไม่ทุกข์ร้อนขนาดนั้น

“คุณไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด ผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด ถ้าจะถามว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คงเพราะว่าเพื่อนผมวานให้ไปรับคุณกลับ แต่ผมไม่รู้จักบ้านคุณหน่ะ เพื่อนผมเองก็เมาเลยไปส่งคุณไม่ได้ ผมเองก็ไม่รู้จะปลุกคุณอย่างไงเลยกลายเป็นว่ามานอนที่นี่แทน”

มินโฮพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะส่งสายตากังวลอีกครั้ง


“แล้ว...นั่น...”

“อา...จะว่ายังไงดี” อีกฝ่ายก้มหน้าก่อนจะแก้มขึ้นสีระเรื่อ เม้มปากและเอ่ย “คุณไม่ได้ตั้งใจนี่นา ไม่เป็นไรครับ”

มินโฮแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย มันก็จริงที่มินโฮไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิด แต่ถ้าจะให้เขาปัดความรับผิดชอบมันก็เกินไปไหม มินโฮยืนมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา เสียงมันคงดังพอสมควรเลยทำให้อีกฝ่ายที่ไม่ยอมสบตากันเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเบือนหนีอีก

นี่มินโฮทำอะไรผิด

“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...ผมก็ไม่ขัดหรอกนะ”

สุดท้ายถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับความรับผิดชอบจากเขา มินโฮก็ไม่ควรไปดึงดันอยู่ดี

“ผมจะเขียนเบอร์โทรไว้ให้คุณละกัน ถ้ามีอะไรติดต่อผมได้ทันที ผมขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืนด้วย”

เขาทำได้แค่พูดแค่นี้ก่อนจะออกจากห้องไป ถ้าหากว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไรผิดพลาด เขาคิดว่าเขาก็อยากจะรับผิดชอบให้มากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรเลยจริงๆจนน่าถอนหายใจ

ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรอีก








แม้ว่าเราสองคนจะแยกออกมาและหลังจากวันนั้นก็ไม่ได้เจออีก แต่ความรู้สึกย้อนแย้งยังคงกังวลใจเสมอ

เป็นอีกวันที่มินโฮนั่งทำงานหน้าคอมจนเลยเวลา ชีวิตพนักงานออฟฟิศหนุ่มธรรมดาๆที่ต้องเร่งปั่นงานส่งเจ้านายดำเนินไปเฉกเช่นทุกวัน เหลือบสายตามองนาฬิกาตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มหนึ่งแล้ว ยกแขนขึ้นเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบของร่างกายก่อนจะถอดแว่นกลมกันแสงออก นวดขมับด้วยความเพลียก่อนจะตัดสินใจเซฟงานเพื่อกลับห้องพักตนเอง

ดำเนินเฉกเช่นทุกวัน

มินโฮคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นสวมก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศ กวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะพบว่าบนท้องถนนเริ่มที่จะมีแสงไฟประดับบ้างแล้ว

นี่มันใกล้เดือนธันวาแล้วสินะ...

แค่คิดในใจแต่ไม่ได้อะไรออกมา เลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆเพราะไม่ได้รีบร้อนไปไหน นานทีเก็บบรรยากาศเหงาๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

ไม่...

ไม่ใช่หรอก

มินโฮไม่ได้ต้องการบรรยากาศแบบนี้สักนิด

แต่เพราะข้อความในมือถือที่ส่งมาจากหล่อน...คนที่เขายังรักอยู่เสมอ ส่งมาเชิญให้ไปร่วมงานแต่งที่จะเกิดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ มินโฮแค่อ่าน แต่ไม่ได้ตบปากรับคำว่าจะไปอย่างแน่นอน อาจจะเพราะความลังเลใจว่าควรจะไปดีไหม

ในเมื่อยังรักอยู่...ไม่รู้ว่าจะทนมองเห็นคนที่รักไปเป็นของคนอื่นได้หรือไม่

อากาศช่วงนี้เหยียบเย็นลงอย่างน่าใจหาย เผลอลืมเอาถุงมือมาจนทำให้ต้องปล่อยให้มือเย็บเฉียบยามยกขึ้นกระชับผ้าพันคอสีอ่อนของตัวเอง ก่อนจะชะงักและนึกได้ว่าผ้าผืนนี้เจ้าหล่อนก็ให้มาเหมือนกัน...

อา...

การลืมใครสักคนนี่มันช่างยากเย็นเสียจริง

ท้องที่ร้องประท้วงเป็นระยะๆทำให้มินโฮตัดสินใจที่จะพาตัวเองแวะที่ร้านโซจูข้างทาง แน่นอนว่าพรุ่งนี้มีงานอีก และมินโฮก็ไม่ได้อยากจะเมาสักเท่าไร ทั้งที่คิดไว้แบบนั้นแต่ก็ดันสั่งมาสองขวดพร้อมกับแกล้มอีกจำนวนหนึ่ง มินโฮแต่เทน้ำสีใสออกจากขวดและกระดกบ้างเป็นครั้งคราว กวาดสายตามองผู้คนที่เดินไปมา เพราะช่วงเวลานี้ไม่ได้ดึกมากเลยทำให้ยังดูคึกคักไปด้วยผู้คน ก่อนที่จะรู้สึกว่าด้านตรงข้ามมีคนนั่งลง อาจจะเป็นคนที่เข้ามาแล้วไม่มีที่นั่งก็ได้เพราะมินโฮไม่ได้หันกลับไปมอง ก่อนที่จะต้องชะงักเมื่อเสียงนั่นเอ่ยทักขึ้นมา

“จะเมาแต่หัววันเลยหรอคุณ”

มินโฮได้แต่อ้าปากค้าง ปลาหมึกย่างในมือดูจะเป็นหมันทันทีที่มันตกพื้น เพราะคนที่ทักทายตอนนี้คือคนที่เขาเพิ่งจะ...นั่นแหละ

รอยยิ้มพิมพ์ใจส่งมาให้มินโฮ เป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ได้พบกันที่นี่ ซึงฮุนขยับร่างกายก่อนจะถูมือมา ไอความร้อนของกับแกล้มที่ซึงฮุนสั่งมาวางที่โต๊ะก่อนจะเหลือบสายตามองอีกครั้ง

“คุณคงไม่ว่าอะไรถ้าผมจะนั่งตรงนี้นะ อย่างที่เห็นว่าที่มันเต็มไปหมดเลย”

เอ่ยออกมาก่อนจะเอียงคอเล็กๆ ท่าทีนั้นทำให้มินโฮไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกมา ทำได้เพียงพยักหน้าและลงมือทานอีกครั้ง

บนโต๊ะอาหารที่วางคั่นด้วยโซจูดูจะเป็นอะไรที่เรียบง่ายและไม่ได้มีความอึดอัดต่อกัน แน่นอนว่าในคราแรกมันก็มีบ้างเพราะสถานการณ์ที่พบกันครั้งแรกมันออกจะไม่น่าประทับใจ แต่หลังจากได้พูดคุยกันไปมา อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลที่ซึมอยู่ในเลือด หรืออาจจะเพราะบรรยากาศที่ราวกับก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยทำให้มินโฮสามารถพูดคุยกันได้มากขึ้น มินโฮได้รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานเป็นครูสอนพิเศษตามบ้านและรุ่นเดียวกับตัวเอง เหมือนจะเรียนอยู่ที่เดียวกันด้วยซ้ำแต่เมื่อถามว่าเป็นเพื่อนกับใครในคณะมินโฮกลับไม่ยอมบอกสักนิด

จากหนึ่งขวดกลายเป็นสองและสามตามลำดับ มินโฮคิดว่าตัวเองคงเมากริ่มมากเกินพอแล้วจึงตัดสินใจที่จะคิดเงิน โบกมือเล็กน้อยเมื่อซึงฮุนปฏิเสธการเลี้ยงของมินโฮ แต่มินโฮแค่บอกว่าไม่เป็นไร

เอาตามจริง มินโฮคิดว่าพอจะเป็นเพื่อนกับซึงฮุนได้

ตัดสินใจแลกเปลี่ยนช่องทางการสื่อสารก่อนที่จะแยกย้ายกันไป มินโฮเดินแยกกับซึงฮุนก่อนจะชะงักและหันกลับไปมอง ท่าทางโซเซของอีกฝ่ายทำให้มินโฮตัดสินใจเดินย้อนกลับทางเดิม

“ซึงฮุน”

ซึงฮุนแค่ชะงักก่อนที่จะหันกลับมามอง มินโฮเดินตีคู่มาก่อนจะถอดผ้าพันคอให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้ใส่โค้ทมา

“ผมให้คุณนะ”

“ให้ผมทำไม คุณสิจะหนาว”

“อย่าเถียงเลยน่า” ซึงฮุนแค่เม้มปาก ใบหน้าขึ้นสีระเรื่ออีกครั้ง มินโฮไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าเป็นเพราะโซจูที่กินไปหรอว่าเพราะอีกฝ่ายเขิน ตัดสินใจไม่เอ่ยถามอะไรออกไปเพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนๆให้ “ให้ผมไปส่งคุณนะ”

“คุณนี่...ผมคิดนะรู้หรือเปล่า”

มินโฮแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา  ระยะห่างระหว่างสองคนสั้นกระชั้นชิดลงเพราะมิตรภาพใหม่ที่เบิกบานในใจ มินโฮโบกมือให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินยิ้นกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินขึ้นห้องพักไปแล้ว







“อารมณ์ดีเชียวนะ มีความรักหรอ”

“ห๊ะ” มินโฮทำหน้างงงวยก่อนจะเงยหน้าจากโทรศัพท์ รุ่นน้องที่ทำงานส่งกาแฟที่ฝากซื้อให้มินโฮก่อนจะยิ้มล้อเลียน มินโฮรีบปฏิเสธทันควัน “กูจะมีได้ไงหล่ะ หน้าอย่างกูใครจะเอา”

“แต่เห็นพี่ติดโทรศัพท์จังเลยนี่นา” รุ่นน้องยิ้มกว้างก่อนจะส่งนิ้วมาจิ้มที่หน้าจอ “ดูสิ พักไม่ได้เลย ต้องหยิบขึ้นมาตลอด”

“นี่มัน..” มินโฮแค่ปฏิเสธด้วยการส่ายหัวก่อนจะยกมือขึ้นโบกรุ่นน้องที่ทำงานให้ไปทำงานทำการซะ ก่อนจะกดส่งข้อความหาซึงฮุนละวางโทรศัพท์ลง

ตั้งแต่วันนั้นมินโฮก็พูดคุยกับซึงฮุนมาตลอด ช่วงเย็นวันไหนที่ว่างก็มีนัดกินข้าวด้วยกันบ้างตามประสา ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นและหลายหนที่ต่างคนต่างผลัดกันจ่าย กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

“เออ พี่ ที่พี่จะลาวันมะรืนอ่ะ พี่อย่าลืมไปคอนเฟิร์มกับหัวหน้านะ” เสียงรุ่นน้องบอกทำให้คนอื่นๆที่ทำงานด้วยกันสงสัย

“ไปไหนอ่ะมินโฮ”

“ออ...ไปงานแต่งเพื่อนครับ”

ใช่ มินโฮตัดสินใจที่จะไปงานแต่งเจ้าหล่อนคนนั้น ตอนแรกที่เหมือนจะทำใจไม่ค่อยได้เท่าไรนัก แต่พอรู้ว่าอย่างน้อยไปครั้งนี้ก็จะได้เจอเพื่อนบ้างและเหมือนซึงฮุนก็จะไปเช่นกัน มินโฮตัดสินใจนัดกับอีกฝ่ายเช่นกันว่าจะไปพร้อมกันและตอบรับคำเชิญไปเรียบร้อย

ไปดูเจ้าหล่อนว่ามีความสุขขนาดไหน...

อย่างน้อยก็เป็นคนที่มินโฮเคยรัก ไปดูว่าความสุขดีไหม ดูว่าอีกฝ่ายดูแลหล่อนดีหรือเปล่าให้มินโฮสบายใจ







“โห เท่มากๆ”

“คุณก็ดูดี”

มินโฮฉีกยิ้มตามอีกฝ่ายที่ยิ้มจนตาปิด ชุดสูทดูเป็นพิธีการน่าอึดอัดไม่น้อย มินโฮมองอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาที่รถเพราะว่าโรงแรมที่จัดอยู่ค่อนข้างไกลแต่ก็ผ่านคอนโดที่ซึงฮุนอยู่พอดี ยกยิ้มก่อนจะมองอีกฝ่ายคาดเข็มขัดและขับรถออกไป

เสียงเพลงคลอในรถทำให้ซึงฮุนโยกตัวเบาๆ มินโฮยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูอารมณ์ดีขนาดนั้น

“วันนี้คุณก็ไม่ได้ไปสอนเลยสิ”

“งานแต่งเพื่อนทั้งที ผมก็ต้องไปสิ ถูกไหม”

มินโฮไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นก่อนจะขับรถมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาถึงโรงแรมที่หมาย ส่งกุญแจให้พนักงานก่อนจะเห็นว่าเจ้าสาวและเจ้าบ่าวยืนอยู่ตรงนั้น

วันนี้หล่อนสวย...มาก มากจนทำให้หัวใจของมินโฮเผลอกระตุกวูบไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายควงแขนอยู่กับว่าที่สามีของหล่อนแล้วกลับไม่เจ็บหัวใจเท่าไรนัก ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันดี...เหมาะมากๆจนวางใจได้ มินโฮยกยิ้มก่อนจะจับมือกับเจ้าบ่าว เอ่ยปากอวยพรก่อนจะหันไปมองเจ้าหล่อน

“ฮื้อ นึกว่านายจะไม่มาเสียอีกมินโฮ”

“แล้วเธอจะร้องไห้ทำไมวะ อายสามีเธอบ้าง” มินโฮแค่ฉีกยิ้มให้ก่อนจะกุมไหล่อีกฝ่าย เจ้าหล่อนยังคงขี้แยไม่เปลี่ยน หันไปสบสายตากับซึงฮุนที่กำลังคุยกับเจ้าบ่าว...ซึงฮุนเป็นเพื่อนสนิทกับอีกฝ่าย ก่อนจะหลบมามองหล่อน “เธอสวยดีนะวันนี้ ดีใจด้วยนะ”

“ขอบคุณที่เข้าใจเรานะมินโฮ”

“คิดมาก...”ยกมือขึ้นเพื่อจะผลักหัวอีกฝ่าย แต่ชะงักก่อนจะลดมือลงเพราะสถานะไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว ก่อนจะยิ้มให้เจ้าบ่าวและขอตัวเดินเข้าไปในงาน


แก้วเครื่องดื่มบรรจุสีสวยถูกส่งต่อจากเพื่อนฝูงก่อนที่มินโฮจะขอปลีกตัวออกมาที่ระเบียงของโรงแรมเพียงลำพังหลังจากทักทายเพื่อนไปได้ไม่นานเพราะรู้สึกมึนงง เหม่อสายตามองออกนอกระเบียงกว้างก่อนจะพรูลมหายใจออกมา เสียงดนตรีแว่วมาแต่มินโฮไม่ได้เข้าไปในงาน ก้มหน้าก่อนจะคลายเนคไทสีเทาของตัวเอง หัวสมองว่างเปล่าไม่ได้คิดะไรออกมาก่อนที่จะต้องเงยหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นซึงฮุนที่เดินเข้ามา

“เป็นอะไร ทำไมไม่เข้าไปในงาน”

“แค่มึนๆหน่ะ แล้วคุณเดินมาทำไม”

มินโฮตอบกลับก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายขยับร่างกายนิดหน่อยราวกับมีความกังวลใจ สูทสีดำสนิทที่เจ้าตัวใส่มาวันนี้ดูดี และมินโฮคิดว่ามันเหมาะกับทรงผมเซตตั้งของซึงฮุนดี

“คุณ...โกรธหรือเปล่า”

“ผมต้องโกรธอะไรคุณ?”

“...ผมเคยเห็นว่าเจ้าหล่อนเป็นแฟนเก่ากับคุณก่อนจะมาคบกับเพื่อนของผม”

ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบางเบาของมินโฮหุบฉับก่อนจะมองด้วยสายตานิ่งๆ ซึงฮุนดูจะกลัวที่จะบอกว่าเป็นเพื่อนอีกฝ่ายมากจริงๆ มินโฮไม่เข้าใจเท่าไรนักว่าทำไมต้องกลัว แต่เพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายมินโฮจึงแค่ส่ายหน้า

“ผมไม่จำเป็นต้องโกรธคุณเลยซึงฮุน มันไม่ใช่เรื่อง...คุณกังวลเรื่องนี้หรอ?”

“ก็...ก็กลัวว่าจะไม่ได้คุยกันแบบนี้อีก”



มินโฮเลิกคิ้วก่อนที่จะมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ท่าทีแบบนั้นทำให้มินโฮนึกถึงวันแรกที่พบกับอีกฝ่าย เหมือนมีบทสนทนาบางอย่างที่พูดคุยกันแบบนี้ มินโฮเอ่ยออกมาแผ่วเบา




“สัมผัสผมมากกว่านี้ได้ไหม” ซึงฮุนหอบหายใจยามที่มือของมินโฮปัดป่ายบนเสื้อคอกว้าง เอียงคออย่างไม่ขัดขืนพลางร้องขอมากขึ้นเมื่อต้องการมากกว่านี้

“คุณต้องการผมหรอ”

“ผมต้องการคุณ มินโฮ ผมต้องการคุณที่สุด”

“อา...ผมก็ต้องการคุณที่สุดเหมือนกัน”

“ถ้าคุณรู้ว่าผมไม่ใช่เพื่อนคุณ...ไม่เคยคิดกับคุณแบบเพื่อนเลย คุณจะโกรธผมไหม”

ริมฝีปากของมินโฮสัมผัสลึกล้ำที่อวัยวะเดียวกันกับคนใต้ร่าง ละตัวออกก่อนจะปลดเสื้อออกและนาบลำตัวลงแนบชิดอีกครั้ง กระซิบที่ใบหูเสียงพร่าเพราะมัวเมาในรสสัมผัส

“อา...คุณกังวลหรอ ไม่ต้องกังวลนะคนดี ผมไม่โกรธคุณหรอก”

“อือ...”

“เป็นของผมนะ.....”




“เราเคยพูดเรื่องนี้กันใช่ไหมซึงฮุน”

“ห๊ะ?”

“สิ่งที่คุณกลัว...ที่คุณบอกผมเมื่อกี้ เราเคยพูดมันตอนเจอกันครั้งแรกใช่ไหม”

มินโฮหรี่ตามองซึงฮุนที่เบิกตากว้าง ใบหน้าขึ้นซับสีเรื่อ ก่อนที่จะขยับเข้าไปให้ใกล้กันมากกว่านี้และเอ่ยออกมา

“คุณ...ชอบผมหรอ?”

ใบหน้าขาวใสยิ่งแดงก่ำขึ้นอีกเมื่อมินโฮเอ่ยออกไปตรงๆ มินโฮตาค้างไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธอะไร ได้แต่ก้มหน้างุดเสียจนน่าแกล้ง

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรความรู้สึกนี้ถึงแล่นเข้ามาในสมอง

...หรือควรเปิดใจใหม่สักทีกันนะมินโฮ

ยอมรับว่าช่วงเวลาแค่ไม่นานที่ได้คุยกับอีกฝ่ายต่างสร้างความรู้สึกดีแก่มินโฮไม่น้อย ทั้งการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ก็ค่อนข้างเข้าขากันได้ดีจนน่าตกใจ

“คุณ...ซึงฮุน”

“...”


อีกฝ่ายกลับก้าวเท้าถอยหลังเมื่อมินโฮก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น มินโฮหลุดรอยยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย

มินโฮคิดว่าเขารู้คำตอบแล้ว...

“นี่ ซึงฮุน”

“ห๊ะ หือ...”

“ผมกับคุณ...เราคบกันไหม” ซึงฮุนเงยหน้าก่อนจะอ้าปากค้าง ดวงตาเล็กนั่นเบิกกว้างอย่างที่มินโฮไม่เคยได้เห็นมาก่อน หลุดหัวเราะเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายแก้เขินด้วยการตีที่ไหล่ของตนเองจนต้องคว้ามืออีกฝ่ายไว้ สอดนิ้วกุมเบาๆและใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือ “ยังไม่ตอบผมเลย”

“...มินโฮ”

“ครับ” ซึงฮุนตอบรับ “ผมรู้ว่าผมชื่อมินโฮ”

ซึงฮุนยิ่งก้มหน้าก่อนจะพูดงึมงำออกมา มินโฮยิ้มกว้างออกมากับคำตอบนั้น

“คุณก็น่าจะรู้ตั้งนานแล้ว...ปล่อยให้ผมแสดงมันออกมาฝ่ายเดียวอยู่ได้”

...มันได้เวลาที่มินโฮควรจะเปิดใจแล้ว...