BABYHOONIE

BABYHOONIE

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

[OS] Lee Seunghoon X Song Minho Story : I know it










[OS] Lee Seunghoon X Song Minho
Story : I know it




Yes
.
.
.
.
I know abt you and me







แสงสีขาวที่ตกกระทบที่ช่วงตาปลุกมินโฮให้ลุกขึ้นจากภวังค์ลึกล้ำยามค่ำคืนอย่างง่ายดาย ร่างกายที่เมื่อยขบทำให้ยากที่จะขยับเขยื้อนร่างกาย มินโฮกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะมองตรงไปด้านหน้า

ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา

สัมผัสนุ่มของผืนเตียงสีตุ่นและผ้านวมผืนหนานี่ก็ไม่ใช่ของเขา

แล้วที่นี่ที่ไหน?

ก่อนจะได้ลุกขึ้นกลับต้องรู้สึกแปลกใจอีกครั้งที่ช่วงเอวดูจะหนักหน่วงเป็นพิเศษ มินโฮกำลังทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสมองและประมวลมันออกมาเป็นภาพ

เมื่อคืน...จำได้ว่ามีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมหาลัย

ได้เจอแฟนเก่าที่ควงคู่กับแฟนหนุ่มของหล่อนมา และประกาศว่าอีกไม่กี่สัปดาห์จะแต่งงาน

มินโฮจำได้ดีว่าหล่อนยิ้ม...ยิ้มแบบมีความสุขชนิดที่ว่ามินโฮไม่เคยเห็นตอนสมัยที่หล่อนคบกับตัวเขาเอง

แล้วอะไรอีกนะ?

ออ...เมา

มินโฮเมาเหมือนหมา และเหมือนว่าเพื่อนจะเข้าใจจึงพากันส่งแก้วให้ชนิดที่ผสมบ้างไม่ผสมบ้างปะปนกันไป รสชาติที่ขมเปร่าของมันทำให้รู้สึกดีจนกินไม่หยุด

และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว....

ยกมือขึ้นนวดขมับก่อนที่ผ้าห่มจะร่นลงเผยแขนขาวที่ตัดกับสีผิวตัวเองอย่างชัดเจน

ประเด็นที่ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนดูจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจที่สุดอีกต่อไป

“...ใครวะ”

มินโฮลุกขึ้นแบบที่ไม่คิดสักนิด ร่างกายปวดเมื่อยช่างปะไร สิ่งที่ต้องสนใจคือแขนขาวๆนี่มันเป็นเป็นของใครมากกว่า

“เชี่ย....”

เผลอหลุดอุทานออกมาก่อนจะอ้าปากค้างน้อยๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่รู้

ที่สำคัญ ดันเป็นผู้ชาย

กวาดสายตาสำรวจอีกฝ่ายและตัวเองก่อนจะมองไปรอบๆห้อง ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนน่าจะเกิดอะไรขึ้น

แต่ใครเสีย

ตัวเองหรือว่าอีกฝ่าย

สำรวจร่างกายตัวเองก่อนจะรู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาพอสมควร ร่องรอยเต็มไปหมดทั้งเล็บและรอยห้อเลือด อาการปวดเมื่อยยิ่งชวนให้คิดแต่เมื่อได้ลองขยับขาก็ต้องโล่งใจ...

ไม่สิ นี่มันไม่น่าโล่งใจสักนิด

นอนกับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ

“เฮ้ คุณ”

เอื้อมมือไปกุมทีไหล่ก่อนจะเขย่าเบาๆ เผลอกลืนน้ำลายเพราะว่าบนร่างกายอีกฝ่ายก็เยอะพอสมควร...ไม่หรอก เยอะกว่าที่ตัวเองมีอีก

อาจจะเพราะผิวอีกฝ่ายมันขาว...ขาวชนิดที่ว่าแค่จับก็ขึ้นรอยแดงอย่างง่ายดาย อีกฝ่ายเพียงแค่ขยับแต่ยังไม่ได้พลิกใบหน้าที่จมกับหมอนขึ้นมา น้ำเสียงงัวเงียไม่น้อยทำให้มินโฮรู้สึกลำคอแห้งผาก

“อืม...ตื่นแล้ว คุณไปอาบน้ำก่อนเลย”

“ตื่นมาคุยกันก่อนสิ คุณเป็น...”

“ผมไม่มีแรง เสียงแหบหมดแล้ว”

อีกฝ่ายแค่พลิกใบหน้าด้านข้างมาก่อนที่มินโฮจะต้องรู้สึกหัวใจตกวูบไป ใบหน้าที่ขาวใสตอนนี้ดูซีดเซียวไม่น้อย ริมฝีปากที่บวมเจ่อนั่นแดงก่ำและช้ำพอสมควร ดวงตาที่ตี่เล็กจนแทบลืมไม่ขึ้นนั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดไปกันใหญ่

...ประเด็นคือนี่มันใครกันวะ

ไม่คุ้นหน้าสักนิด

มินโฮตัดสินใจไม่เซ้าซี้ไปมากกว่านี้ ก่อนจะคว้าผ้าเสื้อผ้าที่ตกระเกะระกะแถวพื้นมาไว้ในอ้อมแขน ตกใจที่ซองสีเงินที่ถูกฉีกตกเรี่ยราดอยู่บริเวณพื้น นั่นทำให้ไม่แปลกใจเท่าไรนักถ้าอีกฝ่ายจะนอนซมได้ขนาดนั้นสาวเท้าเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายเป็นเวลานานพอสมควร แอบแสบนิดหน่อยช่วงสะบักและกลางหลังจนต้องกลั้นใจถูสบู่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะสวมเสื้อผ้าชุดเดิมเดินออกมา พบว่ามันค่อนข้างยับและสภาพไม่น่าดูเท่าไร

...คนเรามันจะเมาจนถึงกับจำอะไรไม่ได้เลยหรือไงวะ

ได้แต่บ่นกับตัวเองและโทษความไม่ระมัดระวังตัวก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ พบว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งแล้วเช่นกัน มินโฮเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกประหม่าพอสมควร ก่อนจะเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหัวเตียงแทน

ความเงียบเป็นสิ่งที่โคตรจะน่าอึดอัด

มินโฮสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นอย่างชัดเจน

อีกฝ่ายยิ้มให้ทั้งที่มีผ้าปกคลุมแค่ท่อนล่างพอไม่อุจอาจตา ก่อนจะเอ่ยออกมา

“ผมชื่อซึงฮุนนะ”

“อะ..อา ชื่อมินโฮ”

เอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบกับอีกครั้ง ช่องว่างสนทนาเป็นอะไรที่น่าอึดอัดเกินทน ต้องยอมรับว่ามินโฮเองไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน บอกตามตรงว่าไปต่อไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไง จึงทำได้แค่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมา

“ไม่ต้องคิดมากนะ”

“หะ..ห๊ะ”

มินโฮงงก่อนจะสบตากับอีกฝ่ายที่แค่ส่งรอยยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ดูอันตรายและไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ

ไม่คิดมากบ้าอะไร

ไปเสียบใครก็ไม่รู้จนช้ำไปหมดแบบนี้จะไม่ให้คิดหรอ

ตลก

“คุณ...โอเคไหม?”

มินโฮถามอย่างคนที่โง่เง่า บนสนทนาปัญญาอ่อนนี่มันกลั่นกลองออกมาจากสมองได้ยังไงกัน ได้แต่คิดทบทวนซ้ำๆเพราะว่าพูดไปแล้ว ก่อนที่จะได้รับรอยยิ้มตาปิดและริมฝีปากคลี่ยิ้มสวย มันสดใสเสียจนมินโฮยิ่งรู้สึกผิดไปกันใหญ่

“ผมไม่เป็นอะไร ถ้าคุณจะกลับบ้านก็กลับได้เลยนะ ที่นี่เป็นห้องผมเอง”

“แล้ว...?”กวาดสายตาสำรวจทุกส่วนก่อนจะกลืนคำถามลงคอ

แล้วเรื่องราวเมื่อคืนหล่ะ?

อยากเอ่ยถามแต่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้อะไรสักนิด? นี่เขาควรรับผิดชอบไม่ใช่หรอแล้วทำไมดูไม่ทุกข์ร้อนขนาดนั้น

“คุณไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด ผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด ถ้าจะถามว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คงเพราะว่าเพื่อนผมวานให้ไปรับคุณกลับ แต่ผมไม่รู้จักบ้านคุณหน่ะ เพื่อนผมเองก็เมาเลยไปส่งคุณไม่ได้ ผมเองก็ไม่รู้จะปลุกคุณอย่างไงเลยกลายเป็นว่ามานอนที่นี่แทน”

มินโฮพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะส่งสายตากังวลอีกครั้ง


“แล้ว...นั่น...”

“อา...จะว่ายังไงดี” อีกฝ่ายก้มหน้าก่อนจะแก้มขึ้นสีระเรื่อ เม้มปากและเอ่ย “คุณไม่ได้ตั้งใจนี่นา ไม่เป็นไรครับ”

มินโฮแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย มันก็จริงที่มินโฮไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิด แต่ถ้าจะให้เขาปัดความรับผิดชอบมันก็เกินไปไหม มินโฮยืนมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา เสียงมันคงดังพอสมควรเลยทำให้อีกฝ่ายที่ไม่ยอมสบตากันเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเบือนหนีอีก

นี่มินโฮทำอะไรผิด

“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...ผมก็ไม่ขัดหรอกนะ”

สุดท้ายถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับความรับผิดชอบจากเขา มินโฮก็ไม่ควรไปดึงดันอยู่ดี

“ผมจะเขียนเบอร์โทรไว้ให้คุณละกัน ถ้ามีอะไรติดต่อผมได้ทันที ผมขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืนด้วย”

เขาทำได้แค่พูดแค่นี้ก่อนจะออกจากห้องไป ถ้าหากว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไรผิดพลาด เขาคิดว่าเขาก็อยากจะรับผิดชอบให้มากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรเลยจริงๆจนน่าถอนหายใจ

ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรอีก








แม้ว่าเราสองคนจะแยกออกมาและหลังจากวันนั้นก็ไม่ได้เจออีก แต่ความรู้สึกย้อนแย้งยังคงกังวลใจเสมอ

เป็นอีกวันที่มินโฮนั่งทำงานหน้าคอมจนเลยเวลา ชีวิตพนักงานออฟฟิศหนุ่มธรรมดาๆที่ต้องเร่งปั่นงานส่งเจ้านายดำเนินไปเฉกเช่นทุกวัน เหลือบสายตามองนาฬิกาตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มหนึ่งแล้ว ยกแขนขึ้นเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบของร่างกายก่อนจะถอดแว่นกลมกันแสงออก นวดขมับด้วยความเพลียก่อนจะตัดสินใจเซฟงานเพื่อกลับห้องพักตนเอง

ดำเนินเฉกเช่นทุกวัน

มินโฮคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นสวมก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศ กวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะพบว่าบนท้องถนนเริ่มที่จะมีแสงไฟประดับบ้างแล้ว

นี่มันใกล้เดือนธันวาแล้วสินะ...

แค่คิดในใจแต่ไม่ได้อะไรออกมา เลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆเพราะไม่ได้รีบร้อนไปไหน นานทีเก็บบรรยากาศเหงาๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

ไม่...

ไม่ใช่หรอก

มินโฮไม่ได้ต้องการบรรยากาศแบบนี้สักนิด

แต่เพราะข้อความในมือถือที่ส่งมาจากหล่อน...คนที่เขายังรักอยู่เสมอ ส่งมาเชิญให้ไปร่วมงานแต่งที่จะเกิดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ มินโฮแค่อ่าน แต่ไม่ได้ตบปากรับคำว่าจะไปอย่างแน่นอน อาจจะเพราะความลังเลใจว่าควรจะไปดีไหม

ในเมื่อยังรักอยู่...ไม่รู้ว่าจะทนมองเห็นคนที่รักไปเป็นของคนอื่นได้หรือไม่

อากาศช่วงนี้เหยียบเย็นลงอย่างน่าใจหาย เผลอลืมเอาถุงมือมาจนทำให้ต้องปล่อยให้มือเย็บเฉียบยามยกขึ้นกระชับผ้าพันคอสีอ่อนของตัวเอง ก่อนจะชะงักและนึกได้ว่าผ้าผืนนี้เจ้าหล่อนก็ให้มาเหมือนกัน...

อา...

การลืมใครสักคนนี่มันช่างยากเย็นเสียจริง

ท้องที่ร้องประท้วงเป็นระยะๆทำให้มินโฮตัดสินใจที่จะพาตัวเองแวะที่ร้านโซจูข้างทาง แน่นอนว่าพรุ่งนี้มีงานอีก และมินโฮก็ไม่ได้อยากจะเมาสักเท่าไร ทั้งที่คิดไว้แบบนั้นแต่ก็ดันสั่งมาสองขวดพร้อมกับแกล้มอีกจำนวนหนึ่ง มินโฮแต่เทน้ำสีใสออกจากขวดและกระดกบ้างเป็นครั้งคราว กวาดสายตามองผู้คนที่เดินไปมา เพราะช่วงเวลานี้ไม่ได้ดึกมากเลยทำให้ยังดูคึกคักไปด้วยผู้คน ก่อนที่จะรู้สึกว่าด้านตรงข้ามมีคนนั่งลง อาจจะเป็นคนที่เข้ามาแล้วไม่มีที่นั่งก็ได้เพราะมินโฮไม่ได้หันกลับไปมอง ก่อนที่จะต้องชะงักเมื่อเสียงนั่นเอ่ยทักขึ้นมา

“จะเมาแต่หัววันเลยหรอคุณ”

มินโฮได้แต่อ้าปากค้าง ปลาหมึกย่างในมือดูจะเป็นหมันทันทีที่มันตกพื้น เพราะคนที่ทักทายตอนนี้คือคนที่เขาเพิ่งจะ...นั่นแหละ

รอยยิ้มพิมพ์ใจส่งมาให้มินโฮ เป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ได้พบกันที่นี่ ซึงฮุนขยับร่างกายก่อนจะถูมือมา ไอความร้อนของกับแกล้มที่ซึงฮุนสั่งมาวางที่โต๊ะก่อนจะเหลือบสายตามองอีกครั้ง

“คุณคงไม่ว่าอะไรถ้าผมจะนั่งตรงนี้นะ อย่างที่เห็นว่าที่มันเต็มไปหมดเลย”

เอ่ยออกมาก่อนจะเอียงคอเล็กๆ ท่าทีนั้นทำให้มินโฮไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกมา ทำได้เพียงพยักหน้าและลงมือทานอีกครั้ง

บนโต๊ะอาหารที่วางคั่นด้วยโซจูดูจะเป็นอะไรที่เรียบง่ายและไม่ได้มีความอึดอัดต่อกัน แน่นอนว่าในคราแรกมันก็มีบ้างเพราะสถานการณ์ที่พบกันครั้งแรกมันออกจะไม่น่าประทับใจ แต่หลังจากได้พูดคุยกันไปมา อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลที่ซึมอยู่ในเลือด หรืออาจจะเพราะบรรยากาศที่ราวกับก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยทำให้มินโฮสามารถพูดคุยกันได้มากขึ้น มินโฮได้รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานเป็นครูสอนพิเศษตามบ้านและรุ่นเดียวกับตัวเอง เหมือนจะเรียนอยู่ที่เดียวกันด้วยซ้ำแต่เมื่อถามว่าเป็นเพื่อนกับใครในคณะมินโฮกลับไม่ยอมบอกสักนิด

จากหนึ่งขวดกลายเป็นสองและสามตามลำดับ มินโฮคิดว่าตัวเองคงเมากริ่มมากเกินพอแล้วจึงตัดสินใจที่จะคิดเงิน โบกมือเล็กน้อยเมื่อซึงฮุนปฏิเสธการเลี้ยงของมินโฮ แต่มินโฮแค่บอกว่าไม่เป็นไร

เอาตามจริง มินโฮคิดว่าพอจะเป็นเพื่อนกับซึงฮุนได้

ตัดสินใจแลกเปลี่ยนช่องทางการสื่อสารก่อนที่จะแยกย้ายกันไป มินโฮเดินแยกกับซึงฮุนก่อนจะชะงักและหันกลับไปมอง ท่าทางโซเซของอีกฝ่ายทำให้มินโฮตัดสินใจเดินย้อนกลับทางเดิม

“ซึงฮุน”

ซึงฮุนแค่ชะงักก่อนที่จะหันกลับมามอง มินโฮเดินตีคู่มาก่อนจะถอดผ้าพันคอให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้ใส่โค้ทมา

“ผมให้คุณนะ”

“ให้ผมทำไม คุณสิจะหนาว”

“อย่าเถียงเลยน่า” ซึงฮุนแค่เม้มปาก ใบหน้าขึ้นสีระเรื่ออีกครั้ง มินโฮไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าเป็นเพราะโซจูที่กินไปหรอว่าเพราะอีกฝ่ายเขิน ตัดสินใจไม่เอ่ยถามอะไรออกไปเพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนๆให้ “ให้ผมไปส่งคุณนะ”

“คุณนี่...ผมคิดนะรู้หรือเปล่า”

มินโฮแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา  ระยะห่างระหว่างสองคนสั้นกระชั้นชิดลงเพราะมิตรภาพใหม่ที่เบิกบานในใจ มินโฮโบกมือให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินยิ้นกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินขึ้นห้องพักไปแล้ว







“อารมณ์ดีเชียวนะ มีความรักหรอ”

“ห๊ะ” มินโฮทำหน้างงงวยก่อนจะเงยหน้าจากโทรศัพท์ รุ่นน้องที่ทำงานส่งกาแฟที่ฝากซื้อให้มินโฮก่อนจะยิ้มล้อเลียน มินโฮรีบปฏิเสธทันควัน “กูจะมีได้ไงหล่ะ หน้าอย่างกูใครจะเอา”

“แต่เห็นพี่ติดโทรศัพท์จังเลยนี่นา” รุ่นน้องยิ้มกว้างก่อนจะส่งนิ้วมาจิ้มที่หน้าจอ “ดูสิ พักไม่ได้เลย ต้องหยิบขึ้นมาตลอด”

“นี่มัน..” มินโฮแค่ปฏิเสธด้วยการส่ายหัวก่อนจะยกมือขึ้นโบกรุ่นน้องที่ทำงานให้ไปทำงานทำการซะ ก่อนจะกดส่งข้อความหาซึงฮุนละวางโทรศัพท์ลง

ตั้งแต่วันนั้นมินโฮก็พูดคุยกับซึงฮุนมาตลอด ช่วงเย็นวันไหนที่ว่างก็มีนัดกินข้าวด้วยกันบ้างตามประสา ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นและหลายหนที่ต่างคนต่างผลัดกันจ่าย กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

“เออ พี่ ที่พี่จะลาวันมะรืนอ่ะ พี่อย่าลืมไปคอนเฟิร์มกับหัวหน้านะ” เสียงรุ่นน้องบอกทำให้คนอื่นๆที่ทำงานด้วยกันสงสัย

“ไปไหนอ่ะมินโฮ”

“ออ...ไปงานแต่งเพื่อนครับ”

ใช่ มินโฮตัดสินใจที่จะไปงานแต่งเจ้าหล่อนคนนั้น ตอนแรกที่เหมือนจะทำใจไม่ค่อยได้เท่าไรนัก แต่พอรู้ว่าอย่างน้อยไปครั้งนี้ก็จะได้เจอเพื่อนบ้างและเหมือนซึงฮุนก็จะไปเช่นกัน มินโฮตัดสินใจนัดกับอีกฝ่ายเช่นกันว่าจะไปพร้อมกันและตอบรับคำเชิญไปเรียบร้อย

ไปดูเจ้าหล่อนว่ามีความสุขขนาดไหน...

อย่างน้อยก็เป็นคนที่มินโฮเคยรัก ไปดูว่าความสุขดีไหม ดูว่าอีกฝ่ายดูแลหล่อนดีหรือเปล่าให้มินโฮสบายใจ







“โห เท่มากๆ”

“คุณก็ดูดี”

มินโฮฉีกยิ้มตามอีกฝ่ายที่ยิ้มจนตาปิด ชุดสูทดูเป็นพิธีการน่าอึดอัดไม่น้อย มินโฮมองอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาที่รถเพราะว่าโรงแรมที่จัดอยู่ค่อนข้างไกลแต่ก็ผ่านคอนโดที่ซึงฮุนอยู่พอดี ยกยิ้มก่อนจะมองอีกฝ่ายคาดเข็มขัดและขับรถออกไป

เสียงเพลงคลอในรถทำให้ซึงฮุนโยกตัวเบาๆ มินโฮยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูอารมณ์ดีขนาดนั้น

“วันนี้คุณก็ไม่ได้ไปสอนเลยสิ”

“งานแต่งเพื่อนทั้งที ผมก็ต้องไปสิ ถูกไหม”

มินโฮไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นก่อนจะขับรถมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาถึงโรงแรมที่หมาย ส่งกุญแจให้พนักงานก่อนจะเห็นว่าเจ้าสาวและเจ้าบ่าวยืนอยู่ตรงนั้น

วันนี้หล่อนสวย...มาก มากจนทำให้หัวใจของมินโฮเผลอกระตุกวูบไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายควงแขนอยู่กับว่าที่สามีของหล่อนแล้วกลับไม่เจ็บหัวใจเท่าไรนัก ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันดี...เหมาะมากๆจนวางใจได้ มินโฮยกยิ้มก่อนจะจับมือกับเจ้าบ่าว เอ่ยปากอวยพรก่อนจะหันไปมองเจ้าหล่อน

“ฮื้อ นึกว่านายจะไม่มาเสียอีกมินโฮ”

“แล้วเธอจะร้องไห้ทำไมวะ อายสามีเธอบ้าง” มินโฮแค่ฉีกยิ้มให้ก่อนจะกุมไหล่อีกฝ่าย เจ้าหล่อนยังคงขี้แยไม่เปลี่ยน หันไปสบสายตากับซึงฮุนที่กำลังคุยกับเจ้าบ่าว...ซึงฮุนเป็นเพื่อนสนิทกับอีกฝ่าย ก่อนจะหลบมามองหล่อน “เธอสวยดีนะวันนี้ ดีใจด้วยนะ”

“ขอบคุณที่เข้าใจเรานะมินโฮ”

“คิดมาก...”ยกมือขึ้นเพื่อจะผลักหัวอีกฝ่าย แต่ชะงักก่อนจะลดมือลงเพราะสถานะไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว ก่อนจะยิ้มให้เจ้าบ่าวและขอตัวเดินเข้าไปในงาน


แก้วเครื่องดื่มบรรจุสีสวยถูกส่งต่อจากเพื่อนฝูงก่อนที่มินโฮจะขอปลีกตัวออกมาที่ระเบียงของโรงแรมเพียงลำพังหลังจากทักทายเพื่อนไปได้ไม่นานเพราะรู้สึกมึนงง เหม่อสายตามองออกนอกระเบียงกว้างก่อนจะพรูลมหายใจออกมา เสียงดนตรีแว่วมาแต่มินโฮไม่ได้เข้าไปในงาน ก้มหน้าก่อนจะคลายเนคไทสีเทาของตัวเอง หัวสมองว่างเปล่าไม่ได้คิดะไรออกมาก่อนที่จะต้องเงยหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นซึงฮุนที่เดินเข้ามา

“เป็นอะไร ทำไมไม่เข้าไปในงาน”

“แค่มึนๆหน่ะ แล้วคุณเดินมาทำไม”

มินโฮตอบกลับก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายขยับร่างกายนิดหน่อยราวกับมีความกังวลใจ สูทสีดำสนิทที่เจ้าตัวใส่มาวันนี้ดูดี และมินโฮคิดว่ามันเหมาะกับทรงผมเซตตั้งของซึงฮุนดี

“คุณ...โกรธหรือเปล่า”

“ผมต้องโกรธอะไรคุณ?”

“...ผมเคยเห็นว่าเจ้าหล่อนเป็นแฟนเก่ากับคุณก่อนจะมาคบกับเพื่อนของผม”

ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบางเบาของมินโฮหุบฉับก่อนจะมองด้วยสายตานิ่งๆ ซึงฮุนดูจะกลัวที่จะบอกว่าเป็นเพื่อนอีกฝ่ายมากจริงๆ มินโฮไม่เข้าใจเท่าไรนักว่าทำไมต้องกลัว แต่เพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายมินโฮจึงแค่ส่ายหน้า

“ผมไม่จำเป็นต้องโกรธคุณเลยซึงฮุน มันไม่ใช่เรื่อง...คุณกังวลเรื่องนี้หรอ?”

“ก็...ก็กลัวว่าจะไม่ได้คุยกันแบบนี้อีก”



มินโฮเลิกคิ้วก่อนที่จะมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ท่าทีแบบนั้นทำให้มินโฮนึกถึงวันแรกที่พบกับอีกฝ่าย เหมือนมีบทสนทนาบางอย่างที่พูดคุยกันแบบนี้ มินโฮเอ่ยออกมาแผ่วเบา




“สัมผัสผมมากกว่านี้ได้ไหม” ซึงฮุนหอบหายใจยามที่มือของมินโฮปัดป่ายบนเสื้อคอกว้าง เอียงคออย่างไม่ขัดขืนพลางร้องขอมากขึ้นเมื่อต้องการมากกว่านี้

“คุณต้องการผมหรอ”

“ผมต้องการคุณ มินโฮ ผมต้องการคุณที่สุด”

“อา...ผมก็ต้องการคุณที่สุดเหมือนกัน”

“ถ้าคุณรู้ว่าผมไม่ใช่เพื่อนคุณ...ไม่เคยคิดกับคุณแบบเพื่อนเลย คุณจะโกรธผมไหม”

ริมฝีปากของมินโฮสัมผัสลึกล้ำที่อวัยวะเดียวกันกับคนใต้ร่าง ละตัวออกก่อนจะปลดเสื้อออกและนาบลำตัวลงแนบชิดอีกครั้ง กระซิบที่ใบหูเสียงพร่าเพราะมัวเมาในรสสัมผัส

“อา...คุณกังวลหรอ ไม่ต้องกังวลนะคนดี ผมไม่โกรธคุณหรอก”

“อือ...”

“เป็นของผมนะ.....”




“เราเคยพูดเรื่องนี้กันใช่ไหมซึงฮุน”

“ห๊ะ?”

“สิ่งที่คุณกลัว...ที่คุณบอกผมเมื่อกี้ เราเคยพูดมันตอนเจอกันครั้งแรกใช่ไหม”

มินโฮหรี่ตามองซึงฮุนที่เบิกตากว้าง ใบหน้าขึ้นซับสีเรื่อ ก่อนที่จะขยับเข้าไปให้ใกล้กันมากกว่านี้และเอ่ยออกมา

“คุณ...ชอบผมหรอ?”

ใบหน้าขาวใสยิ่งแดงก่ำขึ้นอีกเมื่อมินโฮเอ่ยออกไปตรงๆ มินโฮตาค้างไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธอะไร ได้แต่ก้มหน้างุดเสียจนน่าแกล้ง

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรความรู้สึกนี้ถึงแล่นเข้ามาในสมอง

...หรือควรเปิดใจใหม่สักทีกันนะมินโฮ

ยอมรับว่าช่วงเวลาแค่ไม่นานที่ได้คุยกับอีกฝ่ายต่างสร้างความรู้สึกดีแก่มินโฮไม่น้อย ทั้งการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ก็ค่อนข้างเข้าขากันได้ดีจนน่าตกใจ

“คุณ...ซึงฮุน”

“...”


อีกฝ่ายกลับก้าวเท้าถอยหลังเมื่อมินโฮก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น มินโฮหลุดรอยยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย

มินโฮคิดว่าเขารู้คำตอบแล้ว...

“นี่ ซึงฮุน”

“ห๊ะ หือ...”

“ผมกับคุณ...เราคบกันไหม” ซึงฮุนเงยหน้าก่อนจะอ้าปากค้าง ดวงตาเล็กนั่นเบิกกว้างอย่างที่มินโฮไม่เคยได้เห็นมาก่อน หลุดหัวเราะเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายแก้เขินด้วยการตีที่ไหล่ของตนเองจนต้องคว้ามืออีกฝ่ายไว้ สอดนิ้วกุมเบาๆและใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือ “ยังไม่ตอบผมเลย”

“...มินโฮ”

“ครับ” ซึงฮุนตอบรับ “ผมรู้ว่าผมชื่อมินโฮ”

ซึงฮุนยิ่งก้มหน้าก่อนจะพูดงึมงำออกมา มินโฮยิ้มกว้างออกมากับคำตอบนั้น

“คุณก็น่าจะรู้ตั้งนานแล้ว...ปล่อยให้ผมแสดงมันออกมาฝ่ายเดียวอยู่ได้”

...มันได้เวลาที่มินโฮควรจะเปิดใจแล้ว...