[OS]
Lee Seunghoon X Song Minho
Story
: I know it
Yes
.
.
.
.
I know abt you and me
แสงสีขาวที่ตกกระทบที่ช่วงตาปลุกมินโฮให้ลุกขึ้นจากภวังค์ลึกล้ำยามค่ำคืนอย่างง่ายดาย
ร่างกายที่เมื่อยขบทำให้ยากที่จะขยับเขยื้อนร่างกาย
มินโฮกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะมองตรงไปด้านหน้า
ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา
สัมผัสนุ่มของผืนเตียงสีตุ่นและผ้านวมผืนหนานี่ก็ไม่ใช่ของเขา
แล้วที่นี่ที่ไหน?
ก่อนจะได้ลุกขึ้นกลับต้องรู้สึกแปลกใจอีกครั้งที่ช่วงเอวดูจะหนักหน่วงเป็นพิเศษ
มินโฮกำลังทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสมองและประมวลมันออกมาเป็นภาพ
เมื่อคืน...จำได้ว่ามีงานเลี้ยงรุ่นสมัยมหาลัย
ได้เจอแฟนเก่าที่ควงคู่กับแฟนหนุ่มของหล่อนมา
และประกาศว่าอีกไม่กี่สัปดาห์จะแต่งงาน
มินโฮจำได้ดีว่าหล่อนยิ้ม...ยิ้มแบบมีความสุขชนิดที่ว่ามินโฮไม่เคยเห็นตอนสมัยที่หล่อนคบกับตัวเขาเอง
แล้วอะไรอีกนะ?
ออ...เมา
มินโฮเมาเหมือนหมา
และเหมือนว่าเพื่อนจะเข้าใจจึงพากันส่งแก้วให้ชนิดที่ผสมบ้างไม่ผสมบ้างปะปนกันไป
รสชาติที่ขมเปร่าของมันทำให้รู้สึกดีจนกินไม่หยุด
และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว....
ยกมือขึ้นนวดขมับก่อนที่ผ้าห่มจะร่นลงเผยแขนขาวที่ตัดกับสีผิวตัวเองอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนดูจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจที่สุดอีกต่อไป
“...ใครวะ”
มินโฮลุกขึ้นแบบที่ไม่คิดสักนิด ร่างกายปวดเมื่อยช่างปะไร
สิ่งที่ต้องสนใจคือแขนขาวๆนี่มันเป็นเป็นของใครมากกว่า
“เชี่ย....”
เผลอหลุดอุทานออกมาก่อนจะอ้าปากค้างน้อยๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่รู้
ที่สำคัญ ดันเป็นผู้ชาย
กวาดสายตาสำรวจอีกฝ่ายและตัวเองก่อนจะมองไปรอบๆห้อง
ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนน่าจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ใครเสีย
ตัวเองหรือว่าอีกฝ่าย
สำรวจร่างกายตัวเองก่อนจะรู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาพอสมควร
ร่องรอยเต็มไปหมดทั้งเล็บและรอยห้อเลือด
อาการปวดเมื่อยยิ่งชวนให้คิดแต่เมื่อได้ลองขยับขาก็ต้องโล่งใจ...
ไม่สิ นี่มันไม่น่าโล่งใจสักนิด
นอนกับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ
“เฮ้ คุณ”
เอื้อมมือไปกุมทีไหล่ก่อนจะเขย่าเบาๆ เผลอกลืนน้ำลายเพราะว่าบนร่างกายอีกฝ่ายก็เยอะพอสมควร...ไม่หรอก
เยอะกว่าที่ตัวเองมีอีก
อาจจะเพราะผิวอีกฝ่ายมันขาว...ขาวชนิดที่ว่าแค่จับก็ขึ้นรอยแดงอย่างง่ายดาย
อีกฝ่ายเพียงแค่ขยับแต่ยังไม่ได้พลิกใบหน้าที่จมกับหมอนขึ้นมา
น้ำเสียงงัวเงียไม่น้อยทำให้มินโฮรู้สึกลำคอแห้งผาก
“อืม...ตื่นแล้ว คุณไปอาบน้ำก่อนเลย”
“ตื่นมาคุยกันก่อนสิ คุณเป็น...”
“ผมไม่มีแรง เสียงแหบหมดแล้ว”
อีกฝ่ายแค่พลิกใบหน้าด้านข้างมาก่อนที่มินโฮจะต้องรู้สึกหัวใจตกวูบไป
ใบหน้าที่ขาวใสตอนนี้ดูซีดเซียวไม่น้อย ริมฝีปากที่บวมเจ่อนั่นแดงก่ำและช้ำพอสมควร
ดวงตาที่ตี่เล็กจนแทบลืมไม่ขึ้นนั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดไปกันใหญ่
...ประเด็นคือนี่มันใครกันวะ
ไม่คุ้นหน้าสักนิด
มินโฮตัดสินใจไม่เซ้าซี้ไปมากกว่านี้
ก่อนจะคว้าผ้าเสื้อผ้าที่ตกระเกะระกะแถวพื้นมาไว้ในอ้อมแขน
ตกใจที่ซองสีเงินที่ถูกฉีกตกเรี่ยราดอยู่บริเวณพื้น นั่นทำให้ไม่แปลกใจเท่าไรนักถ้าอีกฝ่ายจะนอนซมได้ขนาดนั้นสาวเท้าเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายเป็นเวลานานพอสมควร
แอบแสบนิดหน่อยช่วงสะบักและกลางหลังจนต้องกลั้นใจถูสบู่อย่างรวดเร็ว
ก่อนจะสวมเสื้อผ้าชุดเดิมเดินออกมา พบว่ามันค่อนข้างยับและสภาพไม่น่าดูเท่าไร
...คนเรามันจะเมาจนถึงกับจำอะไรไม่ได้เลยหรือไงวะ
ได้แต่บ่นกับตัวเองและโทษความไม่ระมัดระวังตัวก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ
พบว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งแล้วเช่นกัน มินโฮเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกประหม่าพอสมควร
ก่อนจะเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหัวเตียงแทน
ความเงียบเป็นสิ่งที่โคตรจะน่าอึดอัด
มินโฮสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นอย่างชัดเจน
อีกฝ่ายยิ้มให้ทั้งที่มีผ้าปกคลุมแค่ท่อนล่างพอไม่อุจอาจตา
ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ผมชื่อซึงฮุนนะ”
“อะ..อา ชื่อมินโฮ”
เอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบกับอีกครั้ง
ช่องว่างสนทนาเป็นอะไรที่น่าอึดอัดเกินทน ต้องยอมรับว่ามินโฮเองไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
บอกตามตรงว่าไปต่อไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไง
จึงทำได้แค่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมา
“ไม่ต้องคิดมากนะ”
“หะ..ห๊ะ”
มินโฮงงก่อนจะสบตากับอีกฝ่ายที่แค่ส่งรอยยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ดูอันตรายและไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
ไม่คิดมากบ้าอะไร
ไปเสียบใครก็ไม่รู้จนช้ำไปหมดแบบนี้จะไม่ให้คิดหรอ
ตลก
“คุณ...โอเคไหม?”
มินโฮถามอย่างคนที่โง่เง่า
บนสนทนาปัญญาอ่อนนี่มันกลั่นกลองออกมาจากสมองได้ยังไงกัน
ได้แต่คิดทบทวนซ้ำๆเพราะว่าพูดไปแล้ว ก่อนที่จะได้รับรอยยิ้มตาปิดและริมฝีปากคลี่ยิ้มสวย
มันสดใสเสียจนมินโฮยิ่งรู้สึกผิดไปกันใหญ่
“ผมไม่เป็นอะไร ถ้าคุณจะกลับบ้านก็กลับได้เลยนะ ที่นี่เป็นห้องผมเอง”
“แล้ว...?”กวาดสายตาสำรวจทุกส่วนก่อนจะกลืนคำถามลงคอ
แล้วเรื่องราวเมื่อคืนหล่ะ?
อยากเอ่ยถามแต่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้อะไรสักนิด?
นี่เขาควรรับผิดชอบไม่ใช่หรอแล้วทำไมดูไม่ทุกข์ร้อนขนาดนั้น
“คุณไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด ผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด
ถ้าจะถามว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คงเพราะว่าเพื่อนผมวานให้ไปรับคุณกลับ
แต่ผมไม่รู้จักบ้านคุณหน่ะ เพื่อนผมเองก็เมาเลยไปส่งคุณไม่ได้
ผมเองก็ไม่รู้จะปลุกคุณอย่างไงเลยกลายเป็นว่ามานอนที่นี่แทน”
มินโฮพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะส่งสายตากังวลอีกครั้ง
“แล้ว...นั่น...”
“อา...จะว่ายังไงดี” อีกฝ่ายก้มหน้าก่อนจะแก้มขึ้นสีระเรื่อ
เม้มปากและเอ่ย “คุณไม่ได้ตั้งใจนี่นา ไม่เป็นไรครับ”
มินโฮแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย
มันก็จริงที่มินโฮไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิด
แต่ถ้าจะให้เขาปัดความรับผิดชอบมันก็เกินไปไหม มินโฮยืนมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
เสียงมันคงดังพอสมควรเลยทำให้อีกฝ่ายที่ไม่ยอมสบตากันเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเบือนหนีอีก
นี่มินโฮทำอะไรผิด
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...ผมก็ไม่ขัดหรอกนะ”
สุดท้ายถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับความรับผิดชอบจากเขา
มินโฮก็ไม่ควรไปดึงดันอยู่ดี
“ผมจะเขียนเบอร์โทรไว้ให้คุณละกัน ถ้ามีอะไรติดต่อผมได้ทันที
ผมขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืนด้วย”
เขาทำได้แค่พูดแค่นี้ก่อนจะออกจากห้องไป
ถ้าหากว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไรผิดพลาด เขาคิดว่าเขาก็อยากจะรับผิดชอบให้มากกว่านี้
แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรเลยจริงๆจนน่าถอนหายใจ
ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้จะไม่มีอะไรอีก
แม้ว่าเราสองคนจะแยกออกมาและหลังจากวันนั้นก็ไม่ได้เจออีก
แต่ความรู้สึกย้อนแย้งยังคงกังวลใจเสมอ
เป็นอีกวันที่มินโฮนั่งทำงานหน้าคอมจนเลยเวลา ชีวิตพนักงานออฟฟิศหนุ่มธรรมดาๆที่ต้องเร่งปั่นงานส่งเจ้านายดำเนินไปเฉกเช่นทุกวัน
เหลือบสายตามองนาฬิกาตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มหนึ่งแล้ว
ยกแขนขึ้นเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบของร่างกายก่อนจะถอดแว่นกลมกันแสงออก
นวดขมับด้วยความเพลียก่อนจะตัดสินใจเซฟงานเพื่อกลับห้องพักตนเอง
ดำเนินเฉกเช่นทุกวัน
มินโฮคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นสวมก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศ
กวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะพบว่าบนท้องถนนเริ่มที่จะมีแสงไฟประดับบ้างแล้ว
นี่มันใกล้เดือนธันวาแล้วสินะ...
แค่คิดในใจแต่ไม่ได้อะไรออกมา
เลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆเพราะไม่ได้รีบร้อนไปไหน
นานทีเก็บบรรยากาศเหงาๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ไม่...
ไม่ใช่หรอก
มินโฮไม่ได้ต้องการบรรยากาศแบบนี้สักนิด
แต่เพราะข้อความในมือถือที่ส่งมาจากหล่อน...คนที่เขายังรักอยู่เสมอ
ส่งมาเชิญให้ไปร่วมงานแต่งที่จะเกิดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ มินโฮแค่อ่าน
แต่ไม่ได้ตบปากรับคำว่าจะไปอย่างแน่นอน อาจจะเพราะความลังเลใจว่าควรจะไปดีไหม
ในเมื่อยังรักอยู่...ไม่รู้ว่าจะทนมองเห็นคนที่รักไปเป็นของคนอื่นได้หรือไม่
อากาศช่วงนี้เหยียบเย็นลงอย่างน่าใจหาย
เผลอลืมเอาถุงมือมาจนทำให้ต้องปล่อยให้มือเย็บเฉียบยามยกขึ้นกระชับผ้าพันคอสีอ่อนของตัวเอง
ก่อนจะชะงักและนึกได้ว่าผ้าผืนนี้เจ้าหล่อนก็ให้มาเหมือนกัน...
อา...
การลืมใครสักคนนี่มันช่างยากเย็นเสียจริง
ท้องที่ร้องประท้วงเป็นระยะๆทำให้มินโฮตัดสินใจที่จะพาตัวเองแวะที่ร้านโซจูข้างทาง
แน่นอนว่าพรุ่งนี้มีงานอีก และมินโฮก็ไม่ได้อยากจะเมาสักเท่าไร
ทั้งที่คิดไว้แบบนั้นแต่ก็ดันสั่งมาสองขวดพร้อมกับแกล้มอีกจำนวนหนึ่ง มินโฮแต่เทน้ำสีใสออกจากขวดและกระดกบ้างเป็นครั้งคราว
กวาดสายตามองผู้คนที่เดินไปมา เพราะช่วงเวลานี้ไม่ได้ดึกมากเลยทำให้ยังดูคึกคักไปด้วยผู้คน
ก่อนที่จะรู้สึกว่าด้านตรงข้ามมีคนนั่งลง
อาจจะเป็นคนที่เข้ามาแล้วไม่มีที่นั่งก็ได้เพราะมินโฮไม่ได้หันกลับไปมอง
ก่อนที่จะต้องชะงักเมื่อเสียงนั่นเอ่ยทักขึ้นมา
“จะเมาแต่หัววันเลยหรอคุณ”
มินโฮได้แต่อ้าปากค้าง ปลาหมึกย่างในมือดูจะเป็นหมันทันทีที่มันตกพื้น
เพราะคนที่ทักทายตอนนี้คือคนที่เขาเพิ่งจะ...นั่นแหละ
รอยยิ้มพิมพ์ใจส่งมาให้มินโฮ
เป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ได้พบกันที่นี่ ซึงฮุนขยับร่างกายก่อนจะถูมือมา
ไอความร้อนของกับแกล้มที่ซึงฮุนสั่งมาวางที่โต๊ะก่อนจะเหลือบสายตามองอีกครั้ง
“คุณคงไม่ว่าอะไรถ้าผมจะนั่งตรงนี้นะ
อย่างที่เห็นว่าที่มันเต็มไปหมดเลย”
เอ่ยออกมาก่อนจะเอียงคอเล็กๆ ท่าทีนั้นทำให้มินโฮไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกมา
ทำได้เพียงพยักหน้าและลงมือทานอีกครั้ง
บนโต๊ะอาหารที่วางคั่นด้วยโซจูดูจะเป็นอะไรที่เรียบง่ายและไม่ได้มีความอึดอัดต่อกัน
แน่นอนว่าในคราแรกมันก็มีบ้างเพราะสถานการณ์ที่พบกันครั้งแรกมันออกจะไม่น่าประทับใจ
แต่หลังจากได้พูดคุยกันไปมา อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลที่ซึมอยู่ในเลือด
หรืออาจจะเพราะบรรยากาศที่ราวกับก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยทำให้มินโฮสามารถพูดคุยกันได้มากขึ้น
มินโฮได้รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานเป็นครูสอนพิเศษตามบ้านและรุ่นเดียวกับตัวเอง
เหมือนจะเรียนอยู่ที่เดียวกันด้วยซ้ำแต่เมื่อถามว่าเป็นเพื่อนกับใครในคณะมินโฮกลับไม่ยอมบอกสักนิด
จากหนึ่งขวดกลายเป็นสองและสามตามลำดับ
มินโฮคิดว่าตัวเองคงเมากริ่มมากเกินพอแล้วจึงตัดสินใจที่จะคิดเงิน โบกมือเล็กน้อยเมื่อซึงฮุนปฏิเสธการเลี้ยงของมินโฮ
แต่มินโฮแค่บอกว่าไม่เป็นไร
เอาตามจริง มินโฮคิดว่าพอจะเป็นเพื่อนกับซึงฮุนได้
ตัดสินใจแลกเปลี่ยนช่องทางการสื่อสารก่อนที่จะแยกย้ายกันไป
มินโฮเดินแยกกับซึงฮุนก่อนจะชะงักและหันกลับไปมอง
ท่าทางโซเซของอีกฝ่ายทำให้มินโฮตัดสินใจเดินย้อนกลับทางเดิม
“ซึงฮุน”
ซึงฮุนแค่ชะงักก่อนที่จะหันกลับมามอง
มินโฮเดินตีคู่มาก่อนจะถอดผ้าพันคอให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้ใส่โค้ทมา
“ผมให้คุณนะ”
“ให้ผมทำไม คุณสิจะหนาว”
“อย่าเถียงเลยน่า” ซึงฮุนแค่เม้มปาก ใบหน้าขึ้นสีระเรื่ออีกครั้ง
มินโฮไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าเป็นเพราะโซจูที่กินไปหรอว่าเพราะอีกฝ่ายเขิน
ตัดสินใจไม่เอ่ยถามอะไรออกไปเพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนๆให้ “ให้ผมไปส่งคุณนะ”
“คุณนี่...ผมคิดนะรู้หรือเปล่า”
มินโฮแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ระยะห่างระหว่างสองคนสั้นกระชั้นชิดลงเพราะมิตรภาพใหม่ที่เบิกบานในใจ
มินโฮโบกมือให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินยิ้นกลับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินขึ้นห้องพักไปแล้ว
“อารมณ์ดีเชียวนะ มีความรักหรอ”
“ห๊ะ” มินโฮทำหน้างงงวยก่อนจะเงยหน้าจากโทรศัพท์
รุ่นน้องที่ทำงานส่งกาแฟที่ฝากซื้อให้มินโฮก่อนจะยิ้มล้อเลียน
มินโฮรีบปฏิเสธทันควัน “กูจะมีได้ไงหล่ะ หน้าอย่างกูใครจะเอา”
“แต่เห็นพี่ติดโทรศัพท์จังเลยนี่นา”
รุ่นน้องยิ้มกว้างก่อนจะส่งนิ้วมาจิ้มที่หน้าจอ “ดูสิ พักไม่ได้เลย
ต้องหยิบขึ้นมาตลอด”
“นี่มัน..”
มินโฮแค่ปฏิเสธด้วยการส่ายหัวก่อนจะยกมือขึ้นโบกรุ่นน้องที่ทำงานให้ไปทำงานทำการซะ
ก่อนจะกดส่งข้อความหาซึงฮุนละวางโทรศัพท์ลง
ตั้งแต่วันนั้นมินโฮก็พูดคุยกับซึงฮุนมาตลอด
ช่วงเย็นวันไหนที่ว่างก็มีนัดกินข้าวด้วยกันบ้างตามประสา
ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นและหลายหนที่ต่างคนต่างผลัดกันจ่าย
กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
“เออ พี่ ที่พี่จะลาวันมะรืนอ่ะ พี่อย่าลืมไปคอนเฟิร์มกับหัวหน้านะ”
เสียงรุ่นน้องบอกทำให้คนอื่นๆที่ทำงานด้วยกันสงสัย
“ไปไหนอ่ะมินโฮ”
“ออ...ไปงานแต่งเพื่อนครับ”
ใช่ มินโฮตัดสินใจที่จะไปงานแต่งเจ้าหล่อนคนนั้น
ตอนแรกที่เหมือนจะทำใจไม่ค่อยได้เท่าไรนัก
แต่พอรู้ว่าอย่างน้อยไปครั้งนี้ก็จะได้เจอเพื่อนบ้างและเหมือนซึงฮุนก็จะไปเช่นกัน
มินโฮตัดสินใจนัดกับอีกฝ่ายเช่นกันว่าจะไปพร้อมกันและตอบรับคำเชิญไปเรียบร้อย
ไปดูเจ้าหล่อนว่ามีความสุขขนาดไหน...
อย่างน้อยก็เป็นคนที่มินโฮเคยรัก ไปดูว่าความสุขดีไหม
ดูว่าอีกฝ่ายดูแลหล่อนดีหรือเปล่าให้มินโฮสบายใจ
“โห เท่มากๆ”
“คุณก็ดูดี”
มินโฮฉีกยิ้มตามอีกฝ่ายที่ยิ้มจนตาปิด
ชุดสูทดูเป็นพิธีการน่าอึดอัดไม่น้อย มินโฮมองอีกฝ่ายที่ก้าวเข้ามาที่รถเพราะว่าโรงแรมที่จัดอยู่ค่อนข้างไกลแต่ก็ผ่านคอนโดที่ซึงฮุนอยู่พอดี
ยกยิ้มก่อนจะมองอีกฝ่ายคาดเข็มขัดและขับรถออกไป
เสียงเพลงคลอในรถทำให้ซึงฮุนโยกตัวเบาๆ
มินโฮยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูอารมณ์ดีขนาดนั้น
“วันนี้คุณก็ไม่ได้ไปสอนเลยสิ”
“งานแต่งเพื่อนทั้งที ผมก็ต้องไปสิ ถูกไหม”
มินโฮไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นก่อนจะขับรถมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาถึงโรงแรมที่หมาย
ส่งกุญแจให้พนักงานก่อนจะเห็นว่าเจ้าสาวและเจ้าบ่าวยืนอยู่ตรงนั้น
วันนี้หล่อนสวย...มาก มากจนทำให้หัวใจของมินโฮเผลอกระตุกวูบไปชั่วขณะ
แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายควงแขนอยู่กับว่าที่สามีของหล่อนแล้วกลับไม่เจ็บหัวใจเท่าไรนัก
ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันดี...เหมาะมากๆจนวางใจได้ มินโฮยกยิ้มก่อนจะจับมือกับเจ้าบ่าว
เอ่ยปากอวยพรก่อนจะหันไปมองเจ้าหล่อน
“ฮื้อ นึกว่านายจะไม่มาเสียอีกมินโฮ”
“แล้วเธอจะร้องไห้ทำไมวะ อายสามีเธอบ้าง”
มินโฮแค่ฉีกยิ้มให้ก่อนจะกุมไหล่อีกฝ่าย เจ้าหล่อนยังคงขี้แยไม่เปลี่ยน
หันไปสบสายตากับซึงฮุนที่กำลังคุยกับเจ้าบ่าว...ซึงฮุนเป็นเพื่อนสนิทกับอีกฝ่าย
ก่อนจะหลบมามองหล่อน “เธอสวยดีนะวันนี้ ดีใจด้วยนะ”
“ขอบคุณที่เข้าใจเรานะมินโฮ”
“คิดมาก...”ยกมือขึ้นเพื่อจะผลักหัวอีกฝ่าย
แต่ชะงักก่อนจะลดมือลงเพราะสถานะไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว
ก่อนจะยิ้มให้เจ้าบ่าวและขอตัวเดินเข้าไปในงาน
แก้วเครื่องดื่มบรรจุสีสวยถูกส่งต่อจากเพื่อนฝูงก่อนที่มินโฮจะขอปลีกตัวออกมาที่ระเบียงของโรงแรมเพียงลำพังหลังจากทักทายเพื่อนไปได้ไม่นานเพราะรู้สึกมึนงง
เหม่อสายตามองออกนอกระเบียงกว้างก่อนจะพรูลมหายใจออกมา เสียงดนตรีแว่วมาแต่มินโฮไม่ได้เข้าไปในงาน
ก้มหน้าก่อนจะคลายเนคไทสีเทาของตัวเอง
หัวสมองว่างเปล่าไม่ได้คิดะไรออกมาก่อนที่จะต้องเงยหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นซึงฮุนที่เดินเข้ามา
“เป็นอะไร ทำไมไม่เข้าไปในงาน”
“แค่มึนๆหน่ะ แล้วคุณเดินมาทำไม”
มินโฮตอบกลับก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายขยับร่างกายนิดหน่อยราวกับมีความกังวลใจ
สูทสีดำสนิทที่เจ้าตัวใส่มาวันนี้ดูดี และมินโฮคิดว่ามันเหมาะกับทรงผมเซตตั้งของซึงฮุนดี
“คุณ...โกรธหรือเปล่า”
“ผมต้องโกรธอะไรคุณ?”
“...ผมเคยเห็นว่าเจ้าหล่อนเป็นแฟนเก่ากับคุณก่อนจะมาคบกับเพื่อนของผม”
ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบางเบาของมินโฮหุบฉับก่อนจะมองด้วยสายตานิ่งๆ
ซึงฮุนดูจะกลัวที่จะบอกว่าเป็นเพื่อนอีกฝ่ายมากจริงๆ มินโฮไม่เข้าใจเท่าไรนักว่าทำไมต้องกลัว
แต่เพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายมินโฮจึงแค่ส่ายหน้า
“ผมไม่จำเป็นต้องโกรธคุณเลยซึงฮุน
มันไม่ใช่เรื่อง...คุณกังวลเรื่องนี้หรอ?”
“ก็...ก็กลัวว่าจะไม่ได้คุยกันแบบนี้อีก”
มินโฮเลิกคิ้วก่อนที่จะมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
ท่าทีแบบนั้นทำให้มินโฮนึกถึงวันแรกที่พบกับอีกฝ่าย
เหมือนมีบทสนทนาบางอย่างที่พูดคุยกันแบบนี้ มินโฮเอ่ยออกมาแผ่วเบา
“สัมผัสผมมากกว่านี้ได้ไหม” ซึงฮุนหอบหายใจยามที่มือของมินโฮปัดป่ายบนเสื้อคอกว้าง
เอียงคออย่างไม่ขัดขืนพลางร้องขอมากขึ้นเมื่อต้องการมากกว่านี้
“คุณต้องการผมหรอ”
“ผมต้องการคุณ มินโฮ ผมต้องการคุณที่สุด”
“อา...ผมก็ต้องการคุณที่สุดเหมือนกัน”
“ถ้าคุณรู้ว่าผมไม่ใช่เพื่อนคุณ...ไม่เคยคิดกับคุณแบบเพื่อนเลย
คุณจะโกรธผมไหม”
ริมฝีปากของมินโฮสัมผัสลึกล้ำที่อวัยวะเดียวกันกับคนใต้ร่าง
ละตัวออกก่อนจะปลดเสื้อออกและนาบลำตัวลงแนบชิดอีกครั้ง
กระซิบที่ใบหูเสียงพร่าเพราะมัวเมาในรสสัมผัส
“อา...คุณกังวลหรอ ไม่ต้องกังวลนะคนดี ผมไม่โกรธคุณหรอก”
“อือ...”
“เป็นของผมนะ.....”
“เราเคยพูดเรื่องนี้กันใช่ไหมซึงฮุน”
“ห๊ะ?”
“สิ่งที่คุณกลัว...ที่คุณบอกผมเมื่อกี้ เราเคยพูดมันตอนเจอกันครั้งแรกใช่ไหม”
มินโฮหรี่ตามองซึงฮุนที่เบิกตากว้าง ใบหน้าขึ้นซับสีเรื่อ
ก่อนที่จะขยับเข้าไปให้ใกล้กันมากกว่านี้และเอ่ยออกมา
“คุณ...ชอบผมหรอ?”
ใบหน้าขาวใสยิ่งแดงก่ำขึ้นอีกเมื่อมินโฮเอ่ยออกไปตรงๆ
มินโฮตาค้างไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธอะไร ได้แต่ก้มหน้างุดเสียจนน่าแกล้ง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรความรู้สึกนี้ถึงแล่นเข้ามาในสมอง
...หรือควรเปิดใจใหม่สักทีกันนะมินโฮ
ยอมรับว่าช่วงเวลาแค่ไม่นานที่ได้คุยกับอีกฝ่ายต่างสร้างความรู้สึกดีแก่มินโฮไม่น้อย
ทั้งการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ก็ค่อนข้างเข้าขากันได้ดีจนน่าตกใจ
“คุณ...ซึงฮุน”
“...”
อีกฝ่ายกลับก้าวเท้าถอยหลังเมื่อมินโฮก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น
มินโฮหลุดรอยยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย
มินโฮคิดว่าเขารู้คำตอบแล้ว...
“นี่ ซึงฮุน”
“ห๊ะ หือ...”
“ผมกับคุณ...เราคบกันไหม” ซึงฮุนเงยหน้าก่อนจะอ้าปากค้าง
ดวงตาเล็กนั่นเบิกกว้างอย่างที่มินโฮไม่เคยได้เห็นมาก่อน
หลุดหัวเราะเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายแก้เขินด้วยการตีที่ไหล่ของตนเองจนต้องคว้ามืออีกฝ่ายไว้
สอดนิ้วกุมเบาๆและใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือ “ยังไม่ตอบผมเลย”
“...มินโฮ”
“ครับ” ซึงฮุนตอบรับ “ผมรู้ว่าผมชื่อมินโฮ”
ซึงฮุนยิ่งก้มหน้าก่อนจะพูดงึมงำออกมา
มินโฮยิ้มกว้างออกมากับคำตอบนั้น
“คุณก็น่าจะรู้ตั้งนานแล้ว...ปล่อยให้ผมแสดงมันออกมาฝ่ายเดียวอยู่ได้”
...มันได้เวลาที่มินโฮควรจะเปิดใจแล้ว...