[SF] Kang Seungyoon x Song Minho
Story
: Step Up 4
ผมมายืนอยู่ที่บ้านหลังเดิมอีกครั้ง
บ้าบที่ผมออกมาเมื่อตอนบ่ายนั่นแหละ
ผมกดกริ่งก่อนจะนึกแบบมึนงง
ว่าจะมาหามันทำไมในเมื่อเมื่อก่อนหน้านี้ผมยังด่ามันอยู่เลย
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมเลยหันหลังจะเดินกลับ คิดว่าจะออกไปเดินสูดอากาศสักหน่อย
เพราะกลิ่นเหล้าหึ่งขนาดนี้แม่ได้ตีผมตายแน่
แกร็ก
ผมได้ยินเสียงประตูเปิดแว่วมาแต่ไม่ได้หันหลังกลับ
เดินเซเล็กน้อยเมื่อรับรู้ว่ามีอะไรมากระทบตัว
เป็นไอ้คังซึงยุนที่เดินตามมา
มันคงรีบมากถึงกับขนาดไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยแถมรองเท้าที่มันใส่ยังเป็นรองเท้าใส่เดินในบ้านอีกต่างหาก
“มินโฮ มึงมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ไม่รู้ แล้วมึงนั่นแหละออกมาทำไม”
“อ้าว มึงมากดกริ่งบ้านกูนี่ กูเลยต้องออกมาไง”
เออ จริง
ผมยืนมึนอีกสักพักก่อนจะสะบัดแขนมันออก
มันทำหน้ากระอักกระอ่วนก่อนจะเดินตามผมมาต้อยๆ
“มึงตามกูมาทำไม”
“ก็มึงเมา กูกลัวมึงไปต่อยกับคนอื่นอีก”
มันพูดก่อนจะทำหน้าเหมือนเข็ด
“กูนักเลงขนาดนั้นเลยหรอวะ”
“เผื่อมึงจะลืมว่ากูได้แผลเพราะมึงมาหลายทีแล้ว”มันพูดก่อนจะหัวเราะออกมากับคำพูดของผม
ผมไม่เห็นว่ามันตลกตรงไหนเลยไม่ได้ตอบอะไร
เราสองคนเดินมาจนถึงสนามเด็กเล่น
จู่ๆผมก็คิดถึงช่วงเวลาสมัยเด็กที่มี ผมเดินไปนั่งที่ชิงช้าก่อนจะก้มหน้านิ่ง
วันเวลาผ่านไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เราสองคนอยู่ด้วยกันนานเกินไปจนไม่รู้ตัวว่าอะไรก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
ชิงช้าข้างตัวดังขึ้น เป็นซึงยุนที่นั่งลง ผมไม่ได้หันไปมองมัน
เราสองคนต่างนั่งไกวชิงช้ากันเงียบๆ
สายลมที่พัดผ่านทำให้ร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยแอลกอฮอลของผมคายความร้อนออกมาบ้าง
“มึงจำได้ไหมมินโฮ”
“...”
“ตอนเด็กๆกูกับมึงชอบหนีมาเล่นชิงช้ากันสองคนตอนเย็น
ตอนนั้นไม่ค่อยมีเด็กรุ่นๆเดียวกับเราเท่าไร เราสองคนเลยอยู่ด้วยกันตลอด”
“...”
“กูจำได้ว่าตอนเด็กมึงนี่โคตรขี้แยอ่ะ
มึงงอแงกับกูว่าอยากเล่นชิงช้า จนกูต้องพามึงมานั่ง มึงบังคับให้กูไกว
กูก็ต้องไกวให้ ไกวเท่าไรมึงก็ไม่พอใจ จะให้ทำให้แรงขึ้นจนชิงช้าแม่งฟาดหัวกูแตก”
“มึงพูดขึ้นทำไมวะซึงยุน” ผมหันไปถามมันเมื่อมันพูดถึงเรื่องที่ยังทำให้ผมรู้สึกผิดจนทุกวันนี้
เรื่องทำให้หัวมันแตกนี่เป็นเรื่องนานแล้วก็จริง แต่ผมก็ยังกังวลอยู่ดี
“เปล่า ก็ไม่ทำไม”
“...”
“กูแค่อยากจะบอกว่าคิดถึง...กูคิดถึงความเป็นเพื่อนแบบตอนนั้นมาก”
ใจผมกระตุกวูบอย่างไม่รู้ตัว มันพูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดังและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ผมสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่มันมี
“เออ แต่ตอนนี้กูคิดอะไรได้เพิ่มมาอย่างหนึ่ง”
มันหันกลับมามองผม ก่อนที่จะเงียบเสียง ริมฝีปากที่เคยพูดมากของมันหุบลง
สายตาที่มองมานิ่งๆทำให้ผมแปลกไป
เหมือนผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง
และรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นเช่นกันเมื่อจู่ๆมันเอื้อมมาที่ผม
ก่อนจะจับมือให้วางไว้ที่หลังของมัน
สัมผัสที่เต้นแรงออกมากระทบฝ่ามือทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายก็ใจเต้นแรงเหมือนกัน
“แต่เพื่อนกันเขาไม่รู้สึกแบบนี้หรอกใช่ไหมซงมินโฮ”
มันพูดออกมาแผ่วเบา แต่หูของผมกลับได้ยินชัดเจน
คำพูดของมันทำให้ผมคิดไปไกลจนกลัว...กลัวว่าจะเป็นความเข้าใจผิดของผมแค่ฝ่ายเดียว
“มึงพูดอย่างงี้หมายความว่ายังไงวะ”
“นี่มึงโง่หรือเปล่า”
ผมรู้สึกเหมือนคำที่ผมด่าไปเมื่อหัวค่ำย้อนกลับมากระทบผมยังไงไม่รู้
“กูว่ามึงโง่มากกว่าที่เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ไอ้ซึงยุน”
ผมพูดก่อนจะชักมือออกมา
ไม่ไหว
ความรู้สึกตอนนี้มันตีตื้นขึ้นมาบนอกจนทนแทบไม่ไหว
“กูเป็นไงมึงก็รู้นี่”
ซึงยุนลุกขึ้นก่อนจะเดินมายืนอยู่ข้างหน้าผม ผมเงยหน้ามองมันนิ่งๆ สีหน้าและท่าทางของมันตอนนี้กระตุ้นให้ผมตื่นตัวไปทุกส่วน
เหมือนอะดรีนาลีนที่มีทำให้ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจไม่ได้
“มินโฮ...”
“...”
“คืนนี้กูไปนอนบ้านมึงนะ”
“ถ้ามึงไป มึงจะถอนตัวออกจากกูไม่ได้แล้วนะ”
“เออ”
“กูขี้หึง ขี้หวง และ...”
“กูรู้ทุกอย่างนั่นแหละ”
“ไม่หรอกซึงยุน มึงรู้จักกูแค่ในฐานะที่เป็นเพื่อนแค่นั้น”
ผมส่ายหน้า “แต่ถ้ามึงคิดดีแล้วว่าจะล้ำเส้นความเป็นเพื่อนที่กูพยายามห้ามใจไว้
มึงก็เตรียมใจเถอะ”
ซึงยุนชะงักนิ่งไปกับคำพูดของผม
ผมมองมันก่อนจะก้มหน้าเช่นเดิม
เอาตามจริง
หลังจากที่พูดกันเมื่อกี้มันก็เกินกว่าคนที่เป็นเพื่อนเขาทำกันแล้วนะ ผมกับมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอในเมื่อเราต่างเผยความรู้สึกกันไปมากขนาดนี้
ผมสะดุ้งน้อยๆเมื่อมันเอามือมาวางไว้ที่ไหล่
ก่อนที่อีกข้างจะจับคางผมบีบให้เงยหน้าขึ้นมามองมัน
“งั้นมึงก็รู้ไว้นะไอ้มินโฮ”
“...”
“ถ้ามึงนอกใจกู มึงก็โดนหนักเหมือนกัน”
ผมยกยิ้มกับคำพูดของมัน
ท่าทีมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวบ่งบอกถึงความตั้งใจจริงที่มันคิดดีแล้ว
และผมรู้ว่าคงห้ามอะไรมันไม่ได้อีกต่อไป
“ตัวเท่าหมาทำเป็นซ่า”
“หมาก็เมียมึงไหม”
“มึงยอมรับด้วยหรอ”
“หรือมึงจะรับหล่ะ” ผมหลุดหัวเราะออกมา
เหมือนความตึงเครียดในช่วงนี้หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย
ดึงแขนมันให้นั่งลงที่ตักก่อนจะกอดเอวไว้แน่น
“มึงห้ามเปลี่ยนใจนะ กูไม่ปล่อยแน่”
“เออ ไอ้นี่ ถามมาก แล้วที่นี่มันที่สาธารณะ
ประเจิดประเจ้อ” มันพูดก่อนจะตีแขนเป็นเชิงให้ปล่อย ผมยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“งั้นที่ห้องกูมึงโอเคใช่ปะ”
“แม่มึงอยู่บ้านนี่” มันพูดงืมงำๆ
ใบหูด้านหลังแดงก่ำจนผมอดไม่ได้ที่จะจับและลูบน้อยๆ
“งั้นที่ไหน เปิดห้องดีมะ”
“ตัณหากลับจริงๆเลย” มันพูดก่อนจะลุกขึ้นและเดินหนี
“บ้านกูแม่ไม่อยู่ แล้วแต่มึงจะคิดละกันว่าควรทำไง”
มันพูดก่อนจะเดินหนีออกไป
ผมหัวเราะเป็นคนบ้าอยู่คนเดียวหลังจากตีความหมายของมันได้
ผมว่าตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ผมคงไม่ต้องนอนเหงาคนเดียวแล้วหล่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น