[OS] LEE SEUNGHOON X KANG SEUNGYOON
Story
: Butterfly
Imagination will often carry us to
worlds that never were.
But without it, we go nowhere.
-จินตนาการบ่อยครั้งมักจะเปิดเราเข้าสู่โลกที่ไม่มีจริง
แต่หากเราไม่มีมันเราก็ไม่ได้ไปไหนเลยเช่นกัน-
Carl Sagan, Cosmos
เสียงหนังสือเปิดเพียงแผ่วเบาดังแว่วมาจากในห้อง ก้าวเท้าที่หนักอึ้งทำให้ซึงฮุนรู้สึกสั่นไหว
มันเป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่
ทางเดินแคบหลังโรงพยาบาลเป็นส่วนที่เขาเองไม่เคยคิดว่าจะได้มาที่นี่
แต่ความรู้สึกบางอย่างที่รบกวนจิตใจกลับทำให้ตัดสินใจก้าวเท้าเข้ามา
สายลมที่พัดปะทะร่างกายทำให้ขนแขนลุกชันขึ้นขึ้น
มือกระชับโค้ทอุ่นแน่นขึ้นก่อนจะเดินตรงไปเรื่อยๆ
กลิ่นชื้นทำให้จมูกรู้สึกตีบแคบ อากาศช่างไม่เป็นใจเท่าที่ควร
ทั้งที่แสงแดดจากทางหน้าต่างบ่งบอกถึงความแจ่มใสขนาดนั้น
ซึงฮุนเดินมาจนถึงห้องสุดท้ายก่อนจะยืนนิ่ง
เสียงเปิดกระดาษยังดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ความถี่ของเสียงนั้นกระชันชิดพอๆกับเสียงอัตราการเต้นของหัวใจที่ทำให้รู้สึกเป็นอยู่
ณ ตอนนี้
จู่ๆซึงฮุนก็รู้สึกลังเลที่จะเปิดมันขึ้นมา
มือที่เอื้อมไปชะงักที่ลูกบิดประตู ก่อนที่เสียงเปิดหนังสือที่ดังในห้องจะเงียบตามเช่นกัน
“เข้ามาสิครับ”
ซึงฮุนผงะออกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่ดังลอดผ่านมาจากหลังประตู
น้ำเสียงที่แหบห้าวทำให้ใจพลันคิดจินตนาการไปอีกครั้ง...
ไม่
ซึงฮุนไม่ได้มาเพื่อนึกถึงสิ่งที่คิดไปเอง
ตัดสินใจเปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไป
ชะงักกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าก่อนที่สมองจะพลันคิดอีกครั้ง
ความอบอุ่นที่รู้สึกทั้งที่ไม่ได้สัมผัสนี่คืออะไรกันนะ
แค่ดวงตาสีดำสนิทนั่นมองมาทำให้รู้สึกมึนงงได้ขนาดนี้
“อีซึงฮุนใช่ไหม เชิญนั่งก่อนสิ” มือขาวที่โผล่ออกมาจากเสื้อแขนยาวผายที่นั่งตรงข้าง
ซึงฮุนเดินเข้าไปแบบมึนงง ทั้งสับสนและสงสัยไม่ต่างกัน
คนตรงหน้าเป็นหมอจริงๆหรอ...
“หือ เป็นอะไรหรอครับ”
“ออ เปล่าครับ” ซึงฮุนพูดออกมาแบบงง เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายเรียก
เขาคงเผลอเหม่อและคิดอะไรมากไปจนอีกฝ่ายต้องมองมาแบบนี้
“ครับ ผมชื่อคังซึงยุนนะ”
“ครับ?”
“ขอบคุณที่มาตามคำเชิญผมนะ” รอยยิ้มเผยออกมาเล็กน้อยทำให้สั่นไหว
มือเรียวเล็กค่อยๆรินชาร้อนใส่แก้วก่อนจะเชิญอีกฝ่ายจิบ ซึงยุนละออกก่อนจะเอามือกุมที่หน้าตัก
มองคนตรงหน้าที่ละเลียดช้าๆ “ผมจะเข้าประเด็นเลยนะ ที่ผมเชิญซึงฮุนมา...ผมเรียกชื่อคุณแบบนี้ได้ใช่ไหม?”
“ออ...ดะ ได้สิ” คำพูดตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายเริ่มเกริ่น ซึงยุนมองด้วยท่าทีสนใจแต่ก็สงบนิ่ง
“คือว่า อา...คุณอย่าโกรธเลยนะ แต่ผมได้ยินเรื่องคุณมาบ้างจากมินโฮ
แล้วกรณีคุณน่าสนใจมาก ผมเลยอยากจะช่วยดูแลคุณสักหน่อย จนกว่าจะหายจากอาการที่คุณเป็น
ผมเลยบอกให้มินโฮไปเชิญคุณมาเพราะได้ยินว่าคุณเองก็อยากรักษาอาการที่เป็นอยู่
คุณจะโอเคไหมถ้าเราจะเริ่มพูดคุยกัน”
ซึงฮุนแสดงสีหน้าประหลาดออกมา หลังจากตอนแรกคับข้องใจที่ได้รับคำเชิญจากจิตแพทย์หนุ่มผ่านทางมินโฮ...จะว่าไปเขาเองเป็นคนเล่าเรื่องราวต่างๆให้มินโฮ
เพื่อนสนิทของเขาฟังเกี่ยวกับอาการที่เป็นอยู่
อาการกลัวการเข้าสังคมของเขา
อาการประหลาดที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นได้อย่างไร แต่พอรู้สึกอีกทีกลายเป็นว่าเขากลับกลัวที่จะพูดคุยกับผู้คนที่ได้พบปะแล้ว
ตอนนี้เขาแยกตัวมาอยู่คอนโดเพราะต้องทำงาน โชคดีหน่อยที่เขาทำงานกับมินโฮ
เพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งเจ้านายในที่ทำงานเลยทำให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องไปพบเจอกับลูกค้าได้
ซึงฮุนทำงานเป็นคนออกแบบโปรเจกค์ต่างๆซึ่งต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย
ไม่แปลกหากปัญหาที่เป็นอยู่จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
แน่นอนว่าซึงฮุนเองคงจะไม่อะไรหากงานต่อจากนี้จะเป็นงานใหญ่ และมินโฮเองก็ไม่สามารถที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยได้เหมือนทุกครั้งเพราะงานต้องไปทำที่ต่างประเทศ
แต่ถ้าหากไม่ตกลงรับงานคนเดือดร้อนคงเป็นเพื่อนรักของเขาแน่ๆ ซึงฮุนเองไม่อยากพลาดงานนี้เช่นกัน
จนได้รับคำแนะนำจากเพื่อนสนิทให้มาที่นี่
“แล้วผมต้องมาที่นี่ตลอดเลยหรอ”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยชอบเท่าไร งั้นเอาอย่างนี้ไหมซึงฮุน” ซึงยุนค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดม่านสีใส
ที่นี่เป็นห้องในโรงพยาบาลก็จริงแต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนกับที่บ้านพักมากกว่า
ซึงฮุนอึ้งเล็กน้อยเมื่อมองไปทางด้านหลังมีสวนดอกไม้หลากสีอยู่
ต้นไม้หลายต้นร่มรื่นน่ามองรวมทั้งเรือนกระจกสีขุ่นอยู่ไกลๆ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
และไม่คิดว่าที่นี่จะมีเช่นกัน “ผมไม่กำหนดเวลาดีกว่า เอาเป็นว่าถ้าคุณสะดวก
เราไปลองนั่งคุยเล่นกันสักหน่อยไหม ที่นั่นเป็นไง”
ซึงฮุนกับซึงยุนกระชับโค้ทแน่น บรรยากาศเย็นๆปลายฤดูหนาวถึงแม้จะไม่หนาวจัดเท่าช่วงแรกแต่ก็ทำให้ต้องสวมโค้ทตัวหนา
เดินตามคนตรงหน้ามานิ่งๆ ซึงฮุนยอมรับว่าเขากลัวการคุยกับคนอื่นมาก
แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอเป็นคุณหมอกลับใจสงบอย่างน่าประหลาด มือของคุณหมอตัวเล็กยกขึ้นเพื่อเป่าจนควันออกมาน้อยๆ
ทั้งๆที่มืออีกข้างถือกล่องขนาดใหญ่พอควร
เราเดินออกทางประตูหลังของโรงพยาบาลก่อนจะเดินเข้าประตูมา
“ความจริงสวนนี้เป็นที่ดินผมเอง ผมเลยสร้างไว้
ไม่ค่อยให้ใครเข้ามาหรอกครับ” ร่างกายเล็กตรงหน้าหันกลับมายิ้ม น้ำเสียงแหบห้าวสั่นน้อยๆเพราะอากาศเย็น
ไม่นานเราก็เดินมาจนถึงหน้าเรือนกระจก
“เรามาที่นี่?”
“เชิญครับ” ซึงยุนผายมือเป็นเชิงให้เข้าไป ซึงฮุนเดินเข้าไปก่อนจะสะดุดสายตากับมุมมุมหนึ่ง
“คุณเลี้ยงดักแด้?”
“ออ เปล่าหรอกครับ” ซึงยุนพูดออกมาก่อนจะยิ้มเบาๆ “พอดีมันอยู่ในสวน
ผมเลยเอามาไว้ที่นี่ แต่พอผีเสื้อออกมา ผมก็คงจะเอาไปปล่อยในสวนข้างนอกเหมือนเดิม”
ซึงฮุนมองมาที่อีกฝ่ายที่อธิบาย ก่อนจะหันกลับไปมองรอบๆอีกครั้ง
“คุณก็เหมือนผีเสื้อนะซึงฮุน”
จู่ๆซึงยุนก็พูดออกมา ซึงฮุนละสายตาที่กำลังมองดักแด้ที่ห่อตัวก่อนจะมองกลับมาที่คนตรงหน้า
“เพียงแค่คุณพยายามปกป้องตัวคุณเพื่อมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น
คุณไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นเข้าใจเลย”
“...”
“คุณรู้สึกอย่างไรบ้างตอนนี้”
ซึงฮุนมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
เหมือนบทสนทนามันจะเต็มไปด้วยความอึดอัดเย็นชาแต่กลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
คุณหมอตัวเล็กตรงหน้าเพียงแค่ยิ้มกลับมา
ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบของคนตรงหน้าก่อนจะนั่งมองมาเงียบๆ
ไม่รู้ทำไมซึงฮุนรู้สึกสั่น
หนาวงั้นหรอ...เขาคิดว่าไม่ใช่หรอก
แม้อากาศจะเกือบสิบองศา
แต่เขากลับอบอุ่น
อบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกับบทสนทนาสั้นๆของคุณหมอมากกว่า
“ผมรู้สึกอบอุ่นนะ” ซึงฮุนตอบไปตามตรง “แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับการรักษาตรงไหนเลย”
เสียงหัวเราะหลุดออกมาน้อยๆ กับคำตอบคนตรงหน้า ซึงฮุนไม่เข้าใจว่าคำพูดเขามันตลกตรงไหนจึงมองมาตรงๆ
“ขอโทษทีนะซึงฮุน” ซึงยุนพยายามกลั้นหัวเราน้อยๆของตัวเอง “คุณบอกผมได้ไหมว่าตอนนี้ฤดูอะไรหรอ”
“ก็ปลายฤดูหนาว”
“ใช่ ปลายฤดูหนาว”
“แล้วยังไงหล่ะ”
“ผมหัวเราะแค่ดีใจหน่ะที่คุณยังมีอารมณ์อื่นบ้างตอนตอบผมมา
เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวผม จริงไหม”
ก็จริง
ซึงฮุนคิดเช่นนั้นหลังจากเพิ่งรู้สึกตัวเอง
เขาตอบคำถามคนตรงหน้าและแสดงสีหน้ารวมทั้งอารมณ์ไปมาก มากกว่าปกติที่เขาจะเจอผู้คนครั้งแรกด้วยซ้ำ
มันถือเป็นเรื่องน่าประหลาดและแปลกใหม่สำหรับซึงฮุนเหลือเกิน
“คุณลองหลับตานะซึงฮุนปล่อยใจให้ว่าง คุณไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”
ซึงฮุนหลับตาลง
แม้มีความระแวงไปบ้างแต่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากรอยยิ้มส่งมา
พยายามปล่อยใจให้ว่างเปล่าตามที่อีกฝ่ายบอกก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย
สัมผัสอุ่นถูกวางไว้ที่ไหล่เพียงแผ่วเบา
ถ้าเป็นปกติ ซึงฮุนคงสั่นและลงมือกับคนที่สัมผัสตัวเขาเป็นแน่ ขนาดมินโฮที่คบกับเขามานานยังไม่ค่อยมีโอกาสทำแบบนี้กับเขาเลย
“คุณค่อยๆนั่งลงนะซึงฮุน ไม่มีอันตรายใดๆทั้งนั้น” เสียงกระซิบแผ่วแต่กลับดังก้องในหัวของซึงฮุนราวกับมีคนมาขยายเสียง
หลังคำพูดมีเพียงสายลมที่พัดปะทะกับใบไม้มาให้ได้ยิน
มีความอบอุ่นของฝ่ามือวางไว้ที่ไหล่ เขาหลับตาและหายใจเข้าช้าๆและลึก
ก่อนที่จะรู้สึกมวนท้องแปลกๆราวกับมีผีเสื้อร้อยตัวยามลืมตาตามที่ซึงยุนบอกให้ทำ
แพขนตาหนายามที่หลุบตามองที่มือที่สัมผัสซึงฮุนทั้งสองข้างดูมีเสน่ห์
ก่อนริมฝีปากสีส้มจะยิ้มน้อยๆ ผิวขาวตัดกับผมสีอ่อนยิ่งทำให้สั่นไหวไปพร้อมๆกัน
“ซึงฮุนอา ตอนนี้คุณก็เหมือนดักแด้เหล่านั้น หากหมดฤดูหนาวไป...คุณจะกลายเป็นผีเสื้อที่โบยบิน
ขอเพียงคุณช่วยเปิดใจรับกันทีนะ”
ซึงฮุนเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีปีกที่พร้อมจะโบยบิน
เพียงแค่ได้รับฟังคำพูดจากคุณหมอตัวเล็กเท่านั้น
“ครับ”
เขาหวังว่าอาการที่เขาเป็นอยู่จะหายไป
เหมือนกับความหนาวเหน็บของร่างกายที่หายไปเพราะคำพูดของอีกฝ่ายเช่นกัน
“คุณโอเคใช่ไหม”
สำเนียงภาษาอังกฤษดังขึ้นก่อนจะทำให้ซึงฮุนละสายตาออกจากผีเสื้อที่เกาะอยู่กับดอกไม้ หันมายิ้มก่อนจะบอกกลับว่าไม่เป็นไร
เขามาอยู่ที่ญี่ปุ่นได้หลายวันแล้ว
หลังจากช่วงนั้นเข้ารับการรักษาอาการทางจิตใจหลายเดือน
ตอนนี้เขาก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แม้จะต้องมีการจากลาเล็กน้อยที่ทำให้ใจของซึงฮุนวูบโหวงแปลกๆ
แต่เพราะหน้าที่เลยทำให้ไม่มีทางเลือก
คังซึงยุนเป็นหมอ ส่วนตัวเขาเองเป็นแค่คนไข้ที่เขาต้องการรักษาเท่านั้น
ปลีกตัวออกมาพักผ่อนหลังจากที่พูดคุยงานกับลูกค้าจบลง
ร่างกายที่ดูอ่อนเพลียทำให้อยากสูดอากาศสักเล็กน้อย
ร่างสูงเดินเข้ามาในสวนที่ทางโรงแรมจัดไว้
ความงดงามและบรรยากาศทำให้ใจรู้สึกดีขึ้นก่อนที่สายตาจะสะดุดกับผีเสื้ออีกครั้ง
ผีเสื้อดูสวยงาม บอบบาง
“เห็นแล้วนึกถึงหมอจัง” ซึงฮุนพึมพำ เพราะว่าตั้งแต่ทำการรักษาเสร็จเมื่อปีก่อนเขาก็ไม่ได้ติดต่ออีกฝ่ายอีก
กลัวจะรบกวน
กลัวจะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจกับความรู้สึกตนเอง
ยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อจะถ่ายรูปความงดงามตรงหน้า
ก่อนที่ผีเสื้อจะบินออกไป
“เดี๋ยวสิ โถ่”
ซึงฮุนร้องออกมาอย่างขัดใจ ก่อนสมองจะสั่งการให้ก้าวตามไป
ขายาวก้าวเดินไปแบบเร่งรีบ สั่นนิดหน่อยเพราะอากาศเย็นๆเริ่มคืบคลานเข้ามาตามฤดูกาลที่ควรจะเป็น
ซึงฮุนมองตามผีเสื้อไปเรื่อยๆก่อนจะต้องละสายตาเมื่อเดินชนกับใครสักคน
“ขอโทษครับ ขอโทษ”
ข้าวของคนตรงหน้ากระจัดกระจายไปหมดก่อนที่ซึงฮุนจะโค้งตัว ขอโทษเป็นภาษาอังกฤษเสียยกใหญ่
มือคว้าของสะเปะสะปะก่อนจะเงยหน้าและชะงักไปกับสิ่งทีได้เห็น
เหมือนฤดูหนาวเหน็บเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้ร่างกายรู้สึก
เพราะหัวใจเขากลับอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็นซึงยุนแทน
รอยยิ้มคนตรงหน้าถูกส่งมาก่อนที่จะทำให้ซึงฮุนได้รับรู้ถึงความรู้สึกดีๆที่ก่อตัวมานาน
ไม่ใช่เรื่องจินตนาการไปเอง
“ว่าไงพี่ซึงฮุน”
คนตรงหน้าคือบุคลที่มีความหมายสำหรับฤดูกาลที่เหน็บหนาวนี้ของซึงฮุนจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น