[OS] Lee Seunghoon x Nam Taehyun
Story : Sticla Moonlight
#2H2016
มกราคม, 1799
เสียงโวยวายจากข้างนอกทำให้ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น
ร่างกายสมส่วนมีเพียงกางเกงนอนค่อยๆลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง
อากาศเหยียบเย็นติดลบไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
ดวงตาสวยมองไปที่ตรอกแคบ
มองเห็นชาวบ้านที่ใส่เสื้อผ้าหนากำลังตีอะไรอยู่สักอย่าง
เสียงเซ็งแซ่และร่างแน่นิ่งอาบด้วยสีแดงช่างตัดกับหิมะเหลือเกิน
เขายืนมองเหตุการณ์นั้น ไม่ได้รู้สึกอะไร
ก่อนที่ชาวบ้านจะเดินออกไป
ทิ้งไว้เพียงอีกคนที่นอนคุดคู้
แน่นิ่งท่ามกลางกองเลือด
คนมองเห็นเหตุการณ์หันหลังให้กับหน้าต่างบานนั้นก่อนจะคว้าเสื้อผ้าและโค้ทอุ่นเพื่อสวมใส่
เดินลงจากบ้านที่อาศัยอยู่
ก้าวยาวเพื่อให้ถึงเป้าหมายโดยพยายามไม่ให้เป็นที่สนใจมากนัก
ร่างกายเล็กตรงหน้าไม่มีการเคลื่อนไหว
ยืนมองด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายขึ้นเพื่อพากลับบ้านของตน
หม้อการ้อนส่งเสียงหวีดเมื่อถึงจุดเดือด
กระจกขึ้นฝ้าเพราะความอบอุ่นภายในห้องตัดกับหิมะที่เริ่มหนักขึ้นทุกขณะ
เขาเพียงนั่งจิบชา
รอเวลาที่อีกฝ่ายจะฟื้นขึ้น
ร่างเล็กเริ่มมีการขยับตัว
ก่อนเสียงร้องโอดโอยจะดังขึ้นมาเพียงสองสามครั้งและเงียบไป
เพียงชั่วครู่ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกพรวดขึ้นมา
“ที่นี่
ที่ไหน...” กวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะพบกับบุคคลที่นั่งไขว่ห้างอยู่เงียบๆ
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก
ก่อนที่จะถอยตัวเองไปจนติดเตียง แม้ความเจ็บปวดทางกายจะมากกว่าแต่คงไม่สู้สิ่งที่ได้เห็นตอนนี้
“ท่าน...ท่าน”
“รู้จักฉันด้วยหรือเด็กน้อย”
“ท่านพามาที่นี่หรือ”
ปากคอสั่นน่าสงสาร ก่อนที่จะพยายามลุกขึ้นแต่ไม่เป็นผล ร่างกายเจ็บปวดเกินไปที่จะฝืน
“ไม่ต้องลุกหรอก”
“บ้าน!ผมต้องการกลับบ้าน”
“บ้านที่มีแต่คนใจร้ายนั่นหรือ...ทำไมถึงอยากกลับหล่ะ”
เอียงคอถามด้วยน้ำเสียงสงสัย แต่สีหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรจนน่าตัวสั่น
ร่างเล็กมองบุคคลตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
‘บุคคลในข่าวลือ’คนประหลาดที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันกับเด็กน้อย
ผิวสีขาวซีดและใบหน้าไร้อารมณ์แม้รูปลักษณ์จะเป็นที่เลื่องลือแค่ไหนก็ตาม
ความลึกลับที่ได้ยินมาต่างทำให้เด็กชายกลัว
บ้างก็ว่าเป็นปีศาจดูดกลืนเลือด
บ้างว่าเป็นผู้ที่มีใจโหดเหี้ยมอำมหิต
แม้มีสิ่งใดหลงเข้ามาในบ้านหลังนี้ต่างไม่ได้ออกไปสักราย
เสียงเล่าอ้างถึงความน่ากลัวที่เด็กชายได้ยินมาต่างทำให้ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาในเขตบ้านหลังนี้
“ทะ...ท่าน”
“เลิกเรียกท่านเถิด
เธอไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวแม้แต่น้อย”
ร่างกายที่สั่นเทิ้มอยู่ตรงหน้าช่างดูน่าสงสารจนต้องละมือออกจากถ้วยชาก่อนก้าวไป
ก่อนที่ดวงตาจะสบกัน
เด็กน้อยตรงหน้าค่อยๆหยุดสั่นเมื่อได้เห็นความอบอุ่นขัดกับรูปลักษณ์ที่แอบแฝงในดวงตาสวย
ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายนั่งที่ขอบเตียงจนเมือที่เย็นเฉียบนั่นสัมผัสใบหน้า
“ฉันชื่อแทฮยอน
และต่อไปนี้ไม่ว่าเธอจะเคยเจออะไรมา ได้โปรดอยู่ในปกครองฉันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเถิดนะ”
ราวกับถูกมนต์สะกดจากดวงตานั้น
เด็กน้อยค่อยๆพยักหน้าลง
“บอกชื่อให้ฉันรับรู้หน่อยได้ไหม”
“ไม่มี...ผมไม่มีชื่อหรอก”
เด็กน้อยก้มหน้าก้มตาก่อนตอบเสียงอ้อมแอ้ม
ลูบหัวอีกฝ่ายแผ่วเบาก่อนเอ่ย
“อับบาส...อัลบาสจะเป็นชื่อของเธอตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปนะ
เด็กน้อยของฉัน”
มกราคม ,1916
ฝัน...
ความฝันที่ผ่านมาแต่อดีตกลับมาทำให้รู้สึกอีกครั้ง
แทฮยอนลูบหน้าด้วยความมึนงง
ความน่ากลัวของกาลเวลาพรากคนสำคัญไปเสมอ
เขารับรู้ดี ว่าทุกสิ่งย่อมเสื่อมถอยตามกาลที่ผ่านไป
รู้...แต่ไม่ขอชิน
แม้จะผ่านมาร่วมกว่าสองร้อยปีแล้วก็ตาม
แต่แทฮยอนกลับจำได้ดีว่าวันนี้ วันที่เขาได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกทารุณกรรม
วันที่เขาได้รู้จักความอบอุ่นที่หาไม่ได้ตลอดชีวิตที่ยาวนานหลายร้อยปีของเขา บุคคลที่ทำให้รับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่หลังจากที่ใช้เวลาอยู่กับมันมานานจนลืมไปแล้วว่าความรู้สึกคืออะไร
ทั้งความสุขที่ได้มองเด็กน้อยในปกครองเติบโตขึ้น ความรักที่หาสิ่งใดเติมเต็มปรารถนาให้ไม่ได้ยามได้ครอบครองเด็กน้อยนั่น
รวมถึงความเจ็บปวดที่คนรักถูกพรากไปเป็นเหยื่อสังเวยแก่ฮาเดส*ก็ตาม
คุณรู้จักอาตมันไหม...
‘ความปรารถนาที่จะคงอยู่ตลอดไป’
เพราะความเชื่อในปรารถนาประหลาดทำให้เขาคงอยู่ในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มอายุ
17 ปีตลอดกาล
ไม่มีความตามใดพรากชีวิตเขาได้
เป็นอัตตานิรันดร
ยกมือขึ้นเปิดโทรทัศน์เพื่อดูข่าวสาร
เวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน
เขาทำได้เพียงแต่เดินทางไปเรื่อยๆเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตที่ดูจะไร้จุดจบของเขา
ความทรมานที่ต้องเห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตายของบุคคลที่รู้จัก หรือแม้แต่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เขาได้พบเห็นหลายๆร้อยปี
เหมือนเป็นเพียงละครฉากต่อฉากถ้าหากจะเทียบกับปัจจุบันนี้
นิ่งเงียบงันเมื่อมีข่าวเช้าวันนี้มีการประกาศเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปารีส
ถัดมาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
การเสนอข่าวที่เกี่ยวกับการตายและการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในการปฏิวัติเมื่อครั้งนั้น
หลับตาลงทั้งๆที่หูยังฟังเรื่องราวที่ไหลผ่านเข้ามา
นึกถึงอดีตที่ทำให้เขาเกือบตายสมใจแต่สิ่งที่เกิดกลับกลายเป็นอีกคนที่แสนรักจากไปแทน
สงครามเป็นสิ่งที่มีทุกยุคสมัยและไม่มีทางจบสิ้นตราบใดที่ผู้คนยังมีรัก โลภ โกรธ หลง
ข่มใจเมื่อภาพในวันวานหวนกลับมา
“แทฮยอน...แทฮยอน
ผมเอาดอกไม้มาให้”
“ขอบใจนะ”
พูดก่อนหยิบดอกไม้สีฟ้าอมม่วงดอกเล็กมาไว้ในมือ
ก่อนเด็กน้อยตรงหน้าจะเดินเข้าใกล้อย่างกล้าๆกลัวๆ
“มีอะไรหรืออับบาส”
“ผม...ผมอยากนั่งตักแทฮยอนฮะ”
แทฮยอนหลุดยิ้มออกมาบางเบาเมื่อเด็กน้อยตรงหน้าเอ่ยออกมาตรงๆ
ดึงมืออีกฝ่ายขึ้นนั่งก่อนจะลูบหัวด้วยความเคยชิน
รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแบบบรรยายไม่ถูก
เป็นความรู้สึกที่เขาเองไม่ได้สัมผัสมาหลายร้อยปี
อยากที่จะสัมผัสเด็กตรงหน้าเพื่อให้รู้สึกถึงการมีชีวิตมากกว่านี้...
“อับบาส
โปรดหลับตา” เด็กในปกครองดูจะเชื่อฟัง ดวงตาเล็กหลับลง
แก้มฟูที่มีรอยยิ้มช่างน่ารัก
แทฮยอนหยิบดอกไม้ออกมาเพียงหนึ่งดอกก่อนจะทัดหูเด็กน้อยบนตัก
ลูบผมเพียงแผ่วเบาก่อนจะประทับริมฝีปากลงแก้มนุ่ม เด็กน้อยในตักลืมตาด้วยความตกใจ
“แทฮยอน...”
“ฉันหวังว่าเธอจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
แม้เธอจะเป็นเพียงเด็กน้อย แต่เธอก็เป็นคนที่ฉันอยากอยู่ด้วย...”
“ผมไม่เข้าใจที่แทฮยอนจะสื่อฮะ
แต่ถ้าหากว่าแทฮยอนเหงา แทฮยอนจะมีผมตลอดไปฮะ ผมสัญญา”
เด็กน้อยละออกจากตักก่อนจะเดินไปนั่งที่เปียโนเครื่องใหญ่ หลับตาพริ้ม ก่อนจะเริ่มเล่นดนตรีที่ทำให้แทฮยอนจิตใจสั่นไหว...
Moonlight 1st movement
เสียงประตูปิดลงก่อนที่จะมีมือเล็กโอบรอบคอเขา
แทฮยอนค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่ออดีตที่หวนรำลึกกำลังทำให้หยาดน้ำใสไหลออกมาเพียงแผ่วเบา
“ร้องไห้อีกแล้วนะ”
แทฮยอนยกยิ้มเมื่อเสียงเล็กๆนั่นพูดเป็นเชิงตำหนิ
ก่อนจะตัดสินใจดึงคนด้านหลังให้มานั่งตักเขาเหมือนวันวานเมื่อหลายร้อยปี
ไม่มีเด็กชายอัลบาสวัยสิบขวบที่น่ารักเหมือนเมื่อก่อน
แต่กลับมีคนที่ชื่อซึงฮุนอยู่ในความเป็นปัจจุบันของเขาแทน
“รู้สึกไม่ดีหรือแทฮยอน”
ซึงฮุนหันมามองคนที่ดึงนั่งตักด้วยความงุดงง อีกฝ่ายมักเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงมกราคมของทุกปี
ซึงฮุนดูไม่เข้าใจเท่าไรนักซึ่งแทฮยอนเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้มากมาย
“แล้วแทฮยอนเรียกผมมามีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันอยากให้เธอช่วยอะไรฉันหน่อยซึงฮุน”
“...”
“ฉันมีอยากเล่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉันให้เธอฟัง”
แทฮยอนลุกขึ้นก่อนจะจับมือที่ดูผอมบางนั้นให้เดินตามมา
เสียงก้าวเดินต่างจังหวะ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
แทฮยอนพามาที่ห้องแห่งหนึ่งที่ซึงฮุน เด็กชายที่แทฮยอนรับมาอุปการะไม่เคยเห็นตั้งแต่อยู่ที่นี่มาเกือบสิบปีตั้งแต่ที่ได้เจอกับแทฮยอน
“แทฮยอน
ที่นี่คือ...”
“นี่เป็นห้องของฉันเอง
ฉันสร้างไว้ให้คนพิเศษ” ความวูบไหวปรากฏขึ้นทางสายตาเพียงครู่ก่อนที่จะหายไป
“คนที่เหมือนกับเธอมาก...ซึงฮุน
แต่ต่างกันเพียงที่ว่าเขาเจอสิ่งเลวร้ายมามากเกินกว่าที่คนเช่นเธอจะเข้าใจได้”
ปล่อยมืออกจากอีกฝ่ายก่อนที่จะเริ่มหมุนรหัสลูกบาศก์ที่อยู่ตรงประตู อักษรโบราณดูเป็นอะไรที่ยากเกินกว่าเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างซึงฮุนจะเข้าใจ
ใช้เวลาเพียงไม่นานประตูไม้เก่าแก่ก็เปิดออก
แทฮยอนเดินเข้าไปก่อนหน้าเพียงชั่วครู่ ก่อนจะชะงักและหันมาหาซึงฮุน
“ซึงฮุน...ในฐานะที่ฉันเองก็รับเธอมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก
ฉันไม่คิดว่าเธอคงชอบใจเท่าไรนักหากเราต้องมีเรื่องปิดบังกัน
แต่ฉันก็อยากให้เธอคิดดูดีๆ
เพราะสิ่งที่เธอจะได้รู้ต่อจากนี้อาจทำให้เธอรู้สึกกับฉันไม่เหมือนเดิมก็ได้”
“ผมไม่เข้าใจที่แทฮยอนจะสื่อ...”
“ฉันมีทางเลือกให้เธอสองทาง
ว่าจะถอยออกไปหรือก้าวเข้ามา”
บรรยากาศที่เปลี่ยนไปหลังจากพูดจบนั้นทำให้ซึงฮุนรู้สึกแปลกๆ
ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีอะไรเลย....
เป็นความว่างเปล่าที่น่ากลัว
แต่ในความน่ากลัว
มีสิ่งที่เรียกว่าความอบอุ่นปรากฎอยู่เสมือนแสงสว่างของปากทางอุโมงค์ที่อยู่ไกลโพ้น
ซึงฮุนสูดหายใจลึกๆก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้า
สัมผัสความเย็นเฉียบของมือที่ส่งมา ซึงฮุนไว้ใจแทฮยอนมากกว่าจะคิดถึงเรื่องอื่น
หากการที่แทฮยอนตัดสินใจจะบอกอะไรสักอย่างกับเขา เขาก็ยินดีที่จะรับฟังมัน
โดยไม่รู้เลยว่าอาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดไปตลอดชีวิตที่เหลือหลังจากนี้ของเขา
อีซึงฮุนน้ำตาคลอออกมา
เมื่อความรู้สึกหลังได้รับรู้ความจริงตีเข้ากลางแสกหน้า สับสน มึนงง เสียใจ
ทุกอย่างปนเปจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
"ซึงฮุน
เธอรู้ไหมว่ากระจกมันทำหน้าที่อะไร...กระจกมันทำหน้าที่สะท้อนทุกอย่างออกมาอย่างซื่อตรง
มันสะท้อนความจริงที่มันเห็น จนบางครั้งฉันก็แปลกใจกับสิ่งที่มันสะท้อนกลับมา"
แทฮยอนก้มหยิบเศษกระจกเงาที่ตกอยู่ข้างๆกายขึ้นมา
ฝุ่นที่จับบ่งบอกว่ามันผ่านมานานแค่ไหนที่ห้องห้องนี้ไม่ได้รับการเปิดเข้ามาดูแล
"ฉันเอง...ไม่เคยส่องกระจกหรอก
เลยไม่เคยรู้ว่ารูปลักษณ์ของฉันเป็นอย่างไง เพราะฉันไม่มีเงาสะท้อนในกระจก...ไม่มีเลย"
"แต่ตั้งแต่ที่ฉันได้เจอเธอ
ซึงฮุน"เศษกระจกที่แทฮยอนหยิบออกมาถูกบีบจนแตกคามือ
เศษของมันทิ่มแทงเข้าไปในมือก่อนที่ความข้นหนืดสีแดงเข้มจะไหลออกมา"เธอเป็นคนสอง....ที่ในดวงตาของเธอมีเงาสะท้อนของฉัน
รองลงมาจากอับบาสคนที่ฉันให้เธอดูเมื่อครู่นี้"
"ทะ...แทฮยอน"
"ฉันจะทะนุถนอมเธออย่างดี
ที่รักของฉัน"
"มะ..ม่ายยยยยย"
ซึงฮุนกรีดร้องออกมา
ใบหน้าที่เคยสดใสกลับเปรอะด้วยคราบน้ำตา ความเย็นเฉียบของกระจกที่ลูบตรงต้นขาทำให้ซึงฮุนดิ้นอย่างรุนแรง
โซ่สี่เส้นที่ล่ามแขนขาไว้ดังกระทบก้องไปทั้งห้องมืดแคบ
"อย่าดิ้นขนาดนั้นเลย
เธอจะเจ็บตัวนะ" กดปลายแหลมของกระจกลงไปที่เสื้อจนความเข้มของเลือดซึมออกมา
ซึงฮุนกระตุกด้วยความเจ็บ แทฮยอนใช้กระจกกรีดเสื้อผ้าก่อนจะกระชากจนขาดวิ่น
รอยแดงที่เกิดจากการที่กระจกขูดตามผิวหนังทำให้เลือดซึมออกมา
ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจก่อนจะก้มลงหอมแก้มเพียงเบาๆ
"ฉันอยากทำอย่างนี้กับอับบาสตลอดเลย...น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงเด็กสิบขวบผู้น่าสงสาร
ฉันเลยทำอะไรมากไม่ได้
เขาสดใสเกินกว่าจะถูกความสกปรกของฉันเข้าทำให้เปรอะเปื้อน"
"แทฮยอนไม่รักผม...."
"เพราะรัก...ฉันจึงทำมันต่างหากหล่ะ"
ยกยิัมเล็กน้อยให้อีกฝ่ายก่อนจูบซับน้ำตาเพียงแผ่วเบา "ฉันรอเธออายุสิบเจ็ดปีมาตลอดเลยรู้ไหม
วันที่เธอจะอายุเท่าฉันก่อนที่จะกลายเป็นแบบนี้"
แทฮยอนเดินไปที่ตู้กระจก
หยิบไวน์ที่วางไว้ก่อนจะเทมันลงบนตัวซึงฮุน ความแสบร้อนจากแอลกอฮอล์ที่ถูกบาดแผลทำให้กรีดร้องออกมาอีกครั้ง
เลือดซิบซึมออกมาก่อนที่แทฮยอนจะตัดสินใจกดข้อมืออีกฝ่ายแน่นขึ้น
เรียวลิ้นละเลียดรสไวน์ช้าๆ
ความหวานขมปะปนมากับคาวเลือดทำให้หัวใจสูบฉีดรุนแรงขึ้น แทฮยอนละออกก่อนจะปลดโซ่ทั้งหมด
ประคองอีกฝ่ายที่อ่อนแรงให้นั่งก่อนสวมกอด
มือประโลมหลังและกดศีรษะให้ซบที่บ่าของตนเอง
“เธอร้องไห้ได้น่าเกลียดมากรู้ไหมซึงฮุน
น้ำตาที่ไหลออกมาของเธอบดบังความสวยของเธอหมดแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะชอบมันก็เถอะนะ”
เสียงสะอื้นน่าสงสารค่อยๆเงียบหายไปก่อนจะเหลือเพียงแค่ลมหายใจแผ่ว
แทฮยอนค่อยๆเปลี่ยนจากการกอดเป็นอุ้มอีกฝ่ายแทนเพื่อจะพาออกไปจากห้องแห่งนี้
หยุดมองไปที่ร่างไร้วิญญาณของอัลบาสที่อยู่ในโลงบรรจุสารฟอร์มาลีนก่อนจะสลับมามองที่ซึงฮุน
รูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวฝาแฝดทำให้เขาถอนใจ
แม้นิสัยใจคอจะไม่เหมือนกันแต่สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกได้ว่าทั้งอัลบาสและซึงฮุนคือคนที่ตามหาคือดวงตา
ดวงตาที่เปรียบเหมือนดวงจันทร์ยามรัตติกาล
และดวงตาที่สะท้อนทุกอย่างเหมือนกระจกเงา
ซึงฮุนสะดุ้งสุดตัวก่อนจะลุกขึ้น
มือเรียวปาดเหงื่อชื้นที่ออกทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม
ฝันงั้นหรือ
ก้มมองร่างกายตัวเอง
ชุดยังอยู่ในสภาพดีและร่างกายไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย
แต่ความเจ็บเสียดที่บริเวณบั้นเอว ณ จุดที่ถูกกระจกแทงจนมิดในห้วงแห่งฝันกลับมีขึ้นเป็นพักๆ
ลูบแขนตนเองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อรับรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน
ซึงฮุนไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่แทฮยอนบอกในฝัน...เขาจับใจความไม่ได้ว่า
‘ความจริง’ ที่แทฮยอนบอกนั่นคืออะไร
“ฝันบ้าบออะไรได้เป็นตุเป็นตะนะเรา”
ส่ายศีรษะก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนหนานุ่ม
ฉึก!!!
ซึงฮุนสะดุ้งสุดตัว
หันกลับไปมองที่นอนก่อนจะพบว่ามันยังคงสภาพดีเช่นเดิม
ไม่ใช่ที่ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมที่มีคราบคาวเลือดเกรอะกรังปนเปกับสนิมหนา
ไม่มีความเจ็บปวด
ไม่มียอดแหลมที่ทะลุอกมา
ฝันซ้อนฝันงั้นหรอ
ลูบหน้าด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะรับรู้ถึงความตึงเครียดของข้อมือ
เสียงกุกกักทำให้ต้องมองก่อนจะค้างนิ่งเมื่อโซ่ตรวนล่ามที่ข้อมือทั้งสองข้าง
โยงไปจนถึงหัวเตียงและข้อขาก็เช่นกัน
สายตามองเลยไปจนถึงอีกคนที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียง
เหมือนภาพเดจาวูซ้ำซ้อนหวนกลับมาอีกครั้ง
ใบหน้าเรียบนิ่งนั่งไขว้ขาจิบชาเพียงแผ่วเบา
ไม่สื่ออารมณ์ใดๆนั่นชวนให้ขนลุกชันทั้งร่างกาย ก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกขึ้นเดินเข้ามาหาช้าๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศรอบตัวของคนด้านหน้าหรือไม่
แต่ซึงฮุนเลือกที่จะถอยตัวเองจนติดหัวเตียง
ความกลัวที่ทำให้แทบกรีดร้องออกมาแต่กลับไม่มีเสียง
ซึงฮุนทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆเสมือนปลาที่กำลังขาดอากาศหายใจ
ก่อนที่มือเย็นเฉียบจะสัมผัสใบหน้าเพียงแผ่วเบาแต่ทำให้สั่นไปถึงหัวใจ
“ตื่นเถอะซึงฮุน
หมดเวลาของการท่องเที่ยวแล้วหล่ะ”
มกราคม,2016
ซึงฮุนลืมตาขึ้นก่อนจะปิดลงอีกครั้งพร้อมที่น้ำใสไหลออกจากดวงตา
จ้องมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้มองมามาเงียบๆ
“แทฮยอน...”
“...”
“ทรมานมากไหมที่ต้องรอผมมานานขนาดนี้”
แทฮยอนยกยิ้มขึ้นมาเพียงบางเบา
ซึงฮุนมองร่างกายของคนตรงหน้าไม่ได้ดูชราลงตามกาลเวลา แม้จะทำใจให้เชื่อได้ยาก...แต่สิ่งที่แทฮยอนทำให้เขาได้เห็นในห้วงแห่งความคิดนั่นมีเหตุผลมากพอที่จะคลายความสงสัยทั้งหมดที่ซึงฮุนเคยนึกมา
“ฉันแค่อยากให้เธอดูซึงฮุน
เพราะฉันรู้ตัวว่าวันนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะอยู่แล้ว”
“แทฮยอนจะไปไหน”
“...”
“ตอบผมสิ แทฮยอน
ตอบผมสิ!!!”
ซึงฮุนเขย่าแขนคนตรงหน้าแรงๆ ผิวขาวซีดตัดกับริมฝีปากสีสดไม่ได้ตอบอะไร
แทฮยอนยกยิ้มก่อนจะยกมือประคองหน้าของซึงฮุนให้หยุดนิ่ง
ดวงตาสบกันก่อนที่ระยะห่างจะเหลือเพียงแค่ศูนย์
สมองของซึงฮุนว่างเปล่า
ริมฝีปากของคนตรงหน้าขยับออกเล็กน้อยก่อนจะพูดเพียงแผ่วเบา
“ฉันไม่หนีเธอไปไหนหรอกซึงฮุน”
“...”
“เพราะเธอได้ไปกับฉันแน่”
แทฮยอนพูดก่อนจะก้มลงดูข้างล่างทำให้ซึงฮุนมองตาม
ลมหายใจจะสะดุดเมื่อคมมีดที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถือมาตอนไหนปักอยู่ที่อก
ซึงฮุนยกมือขึ้นกุมมีดที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยเลือด ความเจ็บปวดแทรกซึมจนร้าวไปหมด
แทฮยอนหันกลับไปคว้ามีดเล่มเล็กอีกด้ามมาถือก่อนที่จะกรีดผิวเหมือนขีดตัวอักษรภาษาอังกฤษลงมาที่หน้าท้อง
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือแทฮยอนยกปืนขึ้นจ่อที่ขมับขวาของตน ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนและพูดออกมาแผ่วเบา
“ฉันรักเธอนะซึงฮุน”
ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเหลือเพียงกลิ่นคาวเลือด
ดินปืน และความรู้สึกปรารถนาหน่วงลึกของคนสองคน
ปึก!
แทฮยอนปิดหนังสือที่อยู่ในมือก่อนถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
ก้มมองดูร่างของซึงฮุนแล้วรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
เมื่อร่างกายของคนตรงหน้าแน่นิ่งไปท่ามกลางกองเลือด กลิ่นดินปืนที่ฝังอยู่ที่ขมับของตนทำให้แทฮยอนรู้สึกมึนเล็กน้อย
เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเลือดตนเองและของอีกคนเกรอะกรังเกินจะทน
ลูบรอยแผลที่ชำแหละตรงหน้าท้องของซึงฮุนก่อนมองมันด้วยความพึงพอใจ
“กรีดสวยเหมือนกันนะเนี่ย”
อุ้มอีกฝ่ายเข้าห้องน้ำก่อนจะวางไว้ในอ่าง
เปิดน้ำอุ่นจากฝักบัวราดลงบนร่างกายของซึงฮุน
สีแดงชุ่มซึมบนเสื้อไหลออกมาตัดกับสีขาวของพื้นกระเบื้อง
รอสักพักจนน้ำเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีขาวใส
ร่างกายซีดเซียวถูกประคองขึ้นก่อนจะถอดเสื้อผ้าทุกอย่างออก
ผ้าขนหนูผืนหนานุ่มซับตามร่างเปลือย
ร่างกาย...ที่แทฮยอนปรารถนาจะครอบครองกันและกันตลอดไป
XVII
ร่องรอยที่แทฮยอนทำขึ้น
เพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะกลับมาตามความหมายของเลข สอดร่างกายลงนอนข้างซึงฮุนหลังจากแต่งตัวให้อีกฝ่ายเรียบร้อย
ประคองหัวแนบอกของตนเอง ลูบไล้แผ่วเบาก่อนเผยรอยยิ้มออกมา
“แล้วเราจะได้เจอกัน
ที่รักของฉัน”
ความปรารถนาที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป ฉันจะไม่ลืมเลือน เมื่อเธอตื่นขึ้นมา
เธอจะได้พบฉันเป็นคนแรกตลอดไป
XVII
(ฉันเคยมีชีวิตอยู่)
ความตายจะเป็นเครื่องหมายของการอยู่ร่วมกันตลอดไป
>>>>THANK TO
@projecthoonnam สำหรับโปรเจกค์หน้าร้อนดีๆแบบนี้
และขอบคุณสำหรับชาวเรือทุกคนที่ทำให้โปรเจกค์นี้เกิดขึ้นมาได้
ในส่วนของโปรเจกค์นี้มีธีมหลักคือ HORROR
อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างคะ
ต้องขอโทษและขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านจริงๆค่ะ
หากมีข้อผิดพลาดอะไรต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
แนะนำ หรือติชมได้ที่ #2H2016 หรือ @Koyteera ได้นะคะ
แล้วเราจะเจอกันใหม่ค่ะ ขอบคุณค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น